ปัตตานี - แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้า หลังโจรใต้ลอบเผา อบต.2 แห่ง ใน จ.ปัตตานี พร้อมเร่งรัดให้จับคนร้ายมาดำเนินคดี เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายมีไม่ต่ำกว่า 3 คน แต่ยังไม่สามารถระบุตัว และสาเหตุการวางเพลิงได้ สำหรับกรณีคนร้ายจากอินเดียหลบหนีเข้าใต้หวังข้ามชายแดนไทย-มาเลย์ ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน
วันนี้ (28 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหตุคนร้ายเผาที่ทำการ อบต.2 แห่ง ในพื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี คือ อบต.ดอนรัก และ อบต.ปูโละปูโย โดย พ.ต.อ.มานิต ยิ้มซ้าย ผกก.สภ.หนองจิก พร้อมด้วยพนักงานสืบสวน และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อสำรวจความเสียหาย และเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุทั้ง 2 จุด ซึ่งจากการสำรวจความเสียหายพบว่า ที่ อบต.ปูโละปูโย ในพื้นที่ บ.โคกคอแห้ง ม.4 ต.ปูโละปูโย เพลิงได้ลุกไหม้อาคารสำนักงานบริเวณชั้นล่างซึ่งเป็นห้องทำงาน ห้องส่วนการคลัง ห้องสำนักงานปลัด ห้องส่วนโยธา พร้อมเอกสาร อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ ได้รับความเสียหายทั้งหมด โรงจอดรถยนต์ได้รับความเสียหาย จำนวน 1 หลัง รถยนต์กระเช้าไฟฟ้า จำนวน 1 คัน และรถยนต์ดับเพลิง จำนวน 1 คัน
ส่วน อบต.ดอนรัก ในพื้นที่ บ.ดอนรัก ม.1 ต.ดอนรัก เพลิงได้ลุกไหม้อาคารสำนักงาน เอกสาร อุปกรณ์ ได้รับความเสียหายทั้งหมด และมีรถยนต์ได้รับความเสียหาย 3 คัน เป็นรถยนต์เก็บขยะ รถดับเพลิง และรถยนต์กระบะ ลักษณะการก่อเหตุทั้ง 2 จุดเหมือนกันคือ คนร้ายใช้น้ำมันเบนซินชุบผ้าจุดไฟเป็นเชื้อเพลิง
ด้าน พล.ท.ปราการ ชุลยุทธ์ แม่ทัพภาคที่ 4 นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.พร้อมคณะได้เดินทางมาที่ อบต.บ้านดอนรัก เพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และเร่งรัดการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ โดยแม่ทัพได้เข้าไปตรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างใกล้ชิด โดยมี ผกก.พิสูจน์หลักฐานเขต 10 ให้การชี้แจงความเสียหาย และที่มาของต้นเพลิง หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานปัตตานีได้กระจายกำลังเก็บวัตถุพยาน และตรวจหาสาร DNA จากวัตถุพยานในที่เกิดเหตุไว้หมดแล้ว
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนร้ายลอบเข้ามาวางเพลิงในห้องสำนักการคลัง และห้องโยธา รวมทั้งห้องบัญชีการเบิกจ่ายงบประมาณที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินผู้สูงอายุ การเบิกจ่ายโครงการเกี่ยวกับศาสนาวัฒนธรรมเป็นพิเศษ ทางเจ้าหน้าที่จึงต้องเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเอกสารที่เสียหายเข้าชี้แจงเป็นรายบุคคลว่า มีการรื้อเอกสารเหล่านั้นเป็นการเฉพาะหรือไม่อย่างไร ซึ่งจากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุคนร้ายวางเพลิง อบต.ดอนรัก เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานปัตตานี พบถังบรรจุน้ำมันเบนชิน ขนาด 5 ลิตร สีขาว พร้อมน้ำมันบรรจุเต็มถัง คาดว่าเป็นน้ำมันที่เหลือจากคนร้ายนำมาราดตัวอาคาร จึงได้ตรวจหาสาร DNA ที่แฝงมากับถังน้ำมันดังกล่าวไว้ติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
โดย นายเจ๊อาแซ เจ๊ม พร้อมด้วย นายเจ๊ะอับดุลรอแม หะยีบูละ ทั้ง 2 เป็นลูกจ้างของ อบต.ซึ่งทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประจำ อบต.ดอนรัก ได้เข้ามาชี้แจงนาทีที่คนร้ายเข้ามาก่อเหตุให้แม่ทัพภาคที่ 4 และเลขาฯ ศอ.บต.ในระหว่างลงพื้นที่เยี่ยมสถานที่เกิดเหตุ ว่า เมื่อเวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษ กำลังปฏิบัติหน้าที่ภายในป้อมยามบริเวณประตูเข้าออกตามปกติ จนกระทั่งห่วงเวลาดังกล่าวได้มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 3 คน เดินเข้ามาที่ป้อมยาม แล้วนำอาวุธปืนยาวจี้ให้ยามทั้ง 2 ลงหมอบกับพื้น พร้อมขู่ว่าอย่าขัดขืน และอย่าร้อง จากนั้นหนึ่งในคนร้ายได้นำปลาสเตอร์กาวพันมือเท้าทั้งข้าง ในระหว่างนั้นได้ยินเสียงคนอีกกลุ่มกำลังทุบข้าวของก่อนที่เกิดเพลิงไฟลุกไหม้ จากนั้นคนร้ายยังได้หยิบโทรศัพท์มือถือ และดอกกุญแจไปด้วย ก่อนที่จะปล่อยทิ้งยามทั้ง 2 นอนคว่ำอยู่ภายในป้อมยาม
ในที่สุดก็สามารถแก้มัดได้จึงไปขอความช่วยเหลือ ในระหว่างเดินออกจากป้อมยามเห็นชาวบ้านกำลังจะเข้ามาดับไฟเต็มหน้าประตูเข้าออก อบต. แต่ไฟได้ลุกลามไปทั่วอาคาร รถดับเพลิงเพิ่งจะเดินทางมาถึง จึงช่วยกันดับเพลิงจนสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ แต่ใช้เวลานานมาก ส่วนคนร้ายเป็นใครนั้นไม่มีใครบอกรูปพรรณตัวคนร้ายได้ เนื่องจากคนร้ายสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้า และยังบังคับไม่ให้มองอีกต่างหาก
ด้านแม่ทัพภาคที่ 4 ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวหลังจากที่เข้าตรวจเยี่ยมที่เกิดเหตุทั้ง 2 จุดว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุกลุ่มของคนร้ายได้ รวมทั้งสาเหตุของการก่อเหตุในครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน คงต้องรอให้ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเขต 10 เข้าทำงานก่อน ในส่วนมาตรการป้องกันเหตุนั้น คงต้องมาสร้างวิถีการป้องกันสถานที่ให้องค์กรท้องถิ่นสามารถรักษาดูแล เหมือนกรณีที่ทางกองทัพได้เข้าไปเตรียมความพร้อมให้ทุ่งยางแดงโมเดล ส่วนจะต้องขยายไปทุกอำเภอหรือไม่คงต้องประเมินอีกครั้ง นอกจากนั้น แม่ทัพภาคที่ 4 ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีคนร้ายจากอินเดียหลบหนีเข้าทางใต้ เพื่อข้ามแดนทางชายแดนไทย-มาเลย์ พื้นที่ อ.สุไหงโก-ลกนั้น ขณะนี้ทางแม่ทัพยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งให้ทางการข่าวติดตามอย่างใกล้ชิด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน