ศูนย์ข่าวภูเก็ต - รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงภูเก็ต ติดตามความคืบหน้าจับผู้มีอิทธิพล ย้ำตำรวจทำด้วยความสุจริตไม่มีอะไรแอบแฝง ทุกอย่างมีหลักฐานชัดเจน สั่งรายงานความคืบหน้าทุกอาทิตย์ ขณะที่ผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ คาดแจ้งข้อหาอื่นเพิ่ม
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจ พร้อมคณะ ร่วมประชุมกับ พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พล.ต.ต.กระจ่าง สุวรรณรัฐ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 รักษาราชการผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 8 พร้อมด้วยผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามความคืบหน้าการกวาดล้างจับกุมกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำ ที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล และการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งในส่วนของการดำเนินการในพื้นที่ ต.กะรน ต่อเนื่องมาจนถึงพื้นที่ป่าตอง ซึ่งขณะนี้สามารถดำเนินการได้เกือบ 100% ซึ่งมั่นใจว่าทุกคดีมีหลักฐานแน่นหนา สามารถที่จะสั่งฟ้องได้อย่างแน่นอน และในส่วนของผู้กระทำความผิด และผู้เกี่ยวข้องที่กระทำความผิดจะต้องมีการดำเนินการเฉียบขาด ด้วยการบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง ทั้งสรรพากร ทั้ง ปปง.เข้ามาดำเนินการ
“ยืนยันว่าการดำเนินการทุกคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ในเรื่องของของแท็กซี่ป้ายดำที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล อั้งยี่ เป็นการดำเนินการด้วยความสุจริต ไม่มีการกลั่นแกลง ไม่มีวัตถุประสงค์แอบแฝง ทำทุกอย่างตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน แม้ว่าตอนนี้ทางผู้ต้องหาบางคน บางกลุ่มพยายามที่จะให้ข้อมูลทางโซเชียลมีเดีย ในลักษณะข่มขวัญ หมื่นประมาทให้ตำรวจหมดกำลังใจในการทำงาน แต่ก็ยืนยันว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีผล เพราะตำรวจทุกมีกำลังใจดี และยังมีความตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่เพื่อจับกุมดำเนินคดีต่อผู้ที่สร้างความเสียหายที่เปรียบเสมือนมะเร็งร้ายให้หมดไปจากจังหวัดภูเก็ต” พล.ต.อ.เอก กล่าวและว่า
ในการทำงานระบบการทำงานการบังคับใช้กฎหมายจะดำรงต่อเนื่องต่อไป เพราะการทำงานในครั้งนี้มีระบบการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ และหลายๆ จังหวัดก็เริ่มที่จะนำแนวทางการดำเนินงานที่ภูเก็ตไปใช้แล้ว ซึ่งยืนยันว่า การทำงานจะยังดำเนินการในพื้นที่ต่อ เพื่อที่จะไม่ให้มีผู้กระทำความผิดกลับมาทำอีก แต่ถ้ากลับมาก็ต้องดำเนินการโดยการบังคับใช้กฎหมายเข้มและหนักกว่าเดิม เพื่อที่จะรักษาภูเก็ตให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกต่อไป เพื่อที่จะคืนความสุขให้แก่ประชาชน ซึ่งขณะนี้ได้กำชับเป็นให้ตำรวจทุกคนเข้ามาดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในส่วนของการรวบรวมพยานหลักฐานนั้นได้สั่งการให้รายงานความคืบหน้าทุกอาทิตย์
ส่วนกรณีกฎหมายอั้งยี่นั้น ยืนยันว่ายังมีใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เพิ่งนำมาใช้ บางกฎหมายใช้มาตั้งแต่ปี 2470 เพราะฉะนั้นไม่ใช้เรื่องแปลก ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับผู้กระทำความผิดกรณีรถแท็กซี่ป้ายดำที่ตำรวจเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ต.กะรน นั้น ขณะนี้ได้มีการสั่งฟ้องไปแล้ว 13 คดี ส่วนการจับกุมรอบหลังนั้นแบ่งออกมาเป็น 4 คดี 4 กลุ่ม ประกอบด้วย คดีที่ 1 ปิดถนน คดีที่ 2 เป็นเรื่องของการปล่อยรถเช่า ซ่องโจร คดีที่ 3 คิวรถแท็กซี่บ้านสวนมารีน่า ข้อหาซ่องโจร และคดีที่ 4 บริษัทพิโซน่า จำกัด ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอั้งยี่ โดยในส่วนของบริษัท พิโซน่าฯ นั้นจากการสอบสวน คาดว่าจะมีการแจ้งข้องหาอื่นเพิ่มด้วย