ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ต้นไม้ขนาดใหญ่หักโค่นทับรถยนต์ขณะจอดรอสัญญาณไฟจราจรกลางเมืองภูเก็ต ได้รับความเสียหาย 1 คัน มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย ตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่ปิดเส้นทางจราจร พร้อมประสานเจ้าหน้าที่งานป้องกันฯ เทศบาลนครภูเก็ต เข้าดำเนินการเคลื่อนย้ายต้นไม้ที่หักโค่นลงมาออกไปจากเส้นทางจราจร และขณะนี้สามารถเปิดการจราจรในเส้นทางดังกล่าวได้แล้ว
เมื่อเวลาประมาณ 11.15 น. วันนี้ (15 ส.ค.) ที่บริเวณสี่แยกไฟสัญญาณจราจร ถนนโกมารภัจจ์ อ.เมืองภูเก็ต ได้เกิดอุบัติเหตุต้นไม้ขนาดใหญ่ จำนวน 1 ต้น หักโค่นลงมาขวางเส้นทางจราจรและพาดทับรถยนต์กระบะ สีขาว ทะเบียน บน 2908 ภูเก็ต ได้รับความเสียหาย 1 คัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ขณะขับขี่รถมาจอดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่บริเวณสี่แยกดังกล่าว หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.วิสุทธิ์ เคร่งจริง รอง ผกก.จราจร สภ.เมืองภูเก็ต ด.ต.อาจินต์ ทองสร้าง ผบ.หมู่จราจร สภ.เมืองภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรอีกจำนวนหนึ่ง คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้แก่ผู้ที่ขับรถสัญจรผ่านไปมา
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรได้ปิดเส้นทางจราจรบริเวณสามแยกโกมารภัจ และบริเวณสี่แยกไฟสัญญาณจราจร ฝั่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เพื่อให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัญจรในเส้นทางดังกล่าว พร้อมกับประสานไปทางเจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนครภูเก็ต เพื่อนำเครื่องมือหนักเข้าดำเนินการตัดต้นไม้ และทำการเคลื่อนย้ายออกจากผิวทั้งถนนโดยเร็ว หลังการประสานงานผ่านไปประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่งานป้องกันก็เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ และได้ใช้เลื่อยยนต์เข้าดำเนินการตัดต้นไม้ และเคลื่อนย้ายออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็สามารถเคลื่อนย้ายต้นไม้ที่ล้มกีดขวางการจราจรออกไปได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ จากการสอบถาม นายกิตติชัย ทรายขาว อายุ 26 ปี เจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุ ทราบว่า ขณะกำลังขับรถมาจอดรถรอสัญญาณไฟจราจรได้ยินมีเสียงดังเกิดขึ้น เมื่อหันไปดูด้านหลังก็พบว่ามีกิ่งไม้ขนาดใหญ่ล้มลงมาพาดอยู่บริเวณท้ายรถยนต์กระบะที่ตนขับมา จึงได้ลงจากรถไปตรวจสอบ และทราบว่า มีเด็กนักเรียนซึ่งได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาจอดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่บริเวณเดียวกันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
พ.ต.ท.วิสุทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการเคลื่อนย้ายต้นไม้ที่หักโค่นลงมาขวางเส้นทางจราจรบริเวณถนนโกมารภัจจ์ ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 30 นาที ก็สามารถเคลื่อนย้ายต้นไม้ออกจากเส้นทางจราจรได้ทั้งหมด และขณะนี้ได้เปิดการจราจรในเส้นทางดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากไปทางหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในเรื่องต้นไม้ขนาดใหญ่ริมถนน อยากให้มีมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน
เมื่อเวลาประมาณ 11.15 น. วันนี้ (15 ส.ค.) ที่บริเวณสี่แยกไฟสัญญาณจราจร ถนนโกมารภัจจ์ อ.เมืองภูเก็ต ได้เกิดอุบัติเหตุต้นไม้ขนาดใหญ่ จำนวน 1 ต้น หักโค่นลงมาขวางเส้นทางจราจรและพาดทับรถยนต์กระบะ สีขาว ทะเบียน บน 2908 ภูเก็ต ได้รับความเสียหาย 1 คัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ขณะขับขี่รถมาจอดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่บริเวณสี่แยกดังกล่าว หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.วิสุทธิ์ เคร่งจริง รอง ผกก.จราจร สภ.เมืองภูเก็ต ด.ต.อาจินต์ ทองสร้าง ผบ.หมู่จราจร สภ.เมืองภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรอีกจำนวนหนึ่ง คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้แก่ผู้ที่ขับรถสัญจรผ่านไปมา
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรได้ปิดเส้นทางจราจรบริเวณสามแยกโกมารภัจ และบริเวณสี่แยกไฟสัญญาณจราจร ฝั่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เพื่อให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัญจรในเส้นทางดังกล่าว พร้อมกับประสานไปทางเจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนครภูเก็ต เพื่อนำเครื่องมือหนักเข้าดำเนินการตัดต้นไม้ และทำการเคลื่อนย้ายออกจากผิวทั้งถนนโดยเร็ว หลังการประสานงานผ่านไปประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่งานป้องกันก็เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ และได้ใช้เลื่อยยนต์เข้าดำเนินการตัดต้นไม้ และเคลื่อนย้ายออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็สามารถเคลื่อนย้ายต้นไม้ที่ล้มกีดขวางการจราจรออกไปได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ จากการสอบถาม นายกิตติชัย ทรายขาว อายุ 26 ปี เจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุ ทราบว่า ขณะกำลังขับรถมาจอดรถรอสัญญาณไฟจราจรได้ยินมีเสียงดังเกิดขึ้น เมื่อหันไปดูด้านหลังก็พบว่ามีกิ่งไม้ขนาดใหญ่ล้มลงมาพาดอยู่บริเวณท้ายรถยนต์กระบะที่ตนขับมา จึงได้ลงจากรถไปตรวจสอบ และทราบว่า มีเด็กนักเรียนซึ่งได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาจอดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่บริเวณเดียวกันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
พ.ต.ท.วิสุทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการเคลื่อนย้ายต้นไม้ที่หักโค่นลงมาขวางเส้นทางจราจรบริเวณถนนโกมารภัจจ์ ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 30 นาที ก็สามารถเคลื่อนย้ายต้นไม้ออกจากเส้นทางจราจรได้ทั้งหมด และขณะนี้ได้เปิดการจราจรในเส้นทางดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากไปทางหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในเรื่องต้นไม้ขนาดใหญ่ริมถนน อยากให้มีมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน
