คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท มีแต้ม
คนที่ชอบดูการแข่งขันเทนนิสคงจะเคยได้ยินผู้บรรยายพูดว่า “อย่าทำให้คู่ต่อสู้ได้ใจเดี๋ยว โมเมนตัม จะเปลี่ยน” ซึ่งหมายถึงเป็นสถานการณ์ที่ผู้ตกเป็นรองจะพลิกกลับมาเป็นผู้ได้เปรียบ ด้วยผลงาน และกำลังใจที่สะสมมาได้ในช่วงสั้นๆ นั้น จนสามารถชนะเกมการแข่งขันในที่สุด
จริงๆ แล้วคำว่า “โมเมนตัม (Momentum)” เป็นศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ในการแข่งขัน จนนำไปสู่แนวโน้มของผลการแข่งขัน
ในทางวิทยาศาสตร์สาขาย่อยที่เรียกว่า ฟิสิกส์ โมเมนตัมหมายถึงปริมาณที่เป็นผลคูณระหว่างมวลกับความเร็วของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ หรือเรียกว่าประกอบด้วยสองปัจจัยคูณกันคือ มวลกับความเร็ว
โมเมนตัมไม่ใช่แรง แต่เป็นผลโดยตรงมาจากแรงที่มากระทำกับวัตถุนั้นให้เคลื่อนที่ และจริงๆ แล้ว “มวล” ของวัตถุไม่ใช่น้ำหนักตามที่คนส่วนมากข้าใจ แต่ถ้าคูณมวลด้วย ค่าแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเป็นค่าคงที่ก็จะหมายถึงน้ำหนักของวัตถุ ดังนั้น เราจึงนิยมพูดให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่า วัตถุใดมีน้ำหนักมาก (ซึ่งหมายถึงมีมวลมากด้วย) ถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็จะมีโมเมนตัมมาก
ถ้ารถสิบล้อกับรถจักรยานยนต์มีความเร็วเท่ากัน เราพบว่าโมเมนตัมของรถสิบล้อจะสูงกว่าโมเมนตัมของรถจักรยานยนต์ เพราะว่ารถสิบล้อมีน้ำหนักมากกว่ารถจักรยานยนต์ ดังนั้น การจะหยุดรถสิบล้อจึงต้องใช้แรงภายนอกมากระทำ (ซึ่งมักหมายถึงแรงเสียดทานบนถนน) มากกว่าการหยุดรถจักรยานยนต์ เราสามารถสรุปได้ว่า โมเมนตัมเป็นปริมาณที่บอกถึงความยากง่ายของการทำให้วัตถุหยุดการเคลื่อนที่ก็ได้ การหยุดรถสิบล้อย่อมยากกว่าการหยุดรถจักรยานยนต์หลายสิบเท่าแน่นอน
อย่างไรก็ตาม วัตถุที่มีมวลน้อยนิดแต่มีความเร็วสูงมากๆ เช่น ลูกปืน แต่โมเมนตัมของลูกปืนก็มาก และอันตรายมาก ใครก็หยุดมันได้ยากเช่นเดียวกัน
ที่กล่าวมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับชื่อบทความนี้ที่มีคำว่า “โมเมนตัมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม”
ผมอยากให้เราย้อนคิดไปถึงสถานการณ์บ้านเมืองก่อนที่จะเกิด คสช.เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในช่วงนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “มวลมหาประชาชน” จำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทยในหลายๆ ด้าน
“มวลมหาประชาชน” ดังกล่าวก็คือ “มวล” ในความหมายของวิชาฟิสิกส์ดังที่กล่าวข้างต้นนั่นเอง ข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก็คือ ความต้องการ “การเปลี่ยนแปลงสังคม” ซึ่งก็คือ “ความเร็วของวัตถุ” นั่นเอง
ดังนั้น ข้อเรียกร้องของมวลมหาประชาชนดังกล่าวก็คือ “โมเมนตัมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม” โมเมนตัมดังกล่าวไม่ใช่แรงก็จริง แต่เป็นผลมาจากแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม และกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายด้วยพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้นักการเมืองแบบเหมาเข่งและ “ลักหลับ”
โมเมนตัมมีลักษณะพิเศษคือ สามารถถ่ายทอด และส่งผ่านให้กันและกันได้ เมื่อลูกบอลลูกแรกมีโมเมนตัม ก็สามารถส่งต่อไปยังลูกอื่นๆ ที่อยู่ถัดไปได้ ดังรูปประกอบ
ถ้าเราดึงลูกบอลทางซ้ายมือสุดออกมา 2 ลูก แล้วปล่อยพร้อมกัน ซึ่งหมายถึงการเพิ่ม “มวล” ของวัตถุ โมเมนตัม และผลการกระแทกก็จะเปลี่ยนไป ใครมีของเล่นชิ้นนี้อยู่ก็ลองดูครับ สนุกดี
สังคมไทยได้เริ่มสะสมโมเมนตัมของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีกว่ามาเป็นลำดับ เหตุการณ์ที่สำคัญก็คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ตลอดเวลาที่ผ่านมา โมเมนตัมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมก็ขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสาเหตุต่างๆ กัน รวมทั้งการถูก “หยุด” ด้วยแรงของการรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ได้สะสมโมเมนตัมทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพเรื่อยมา
ในขณะนี้ดูผิวเผินก็เหมือนว่า โมเมนตัมเพื่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยถูกทำให้หยุดลงด้วย “แรง” ของ คสช. แต่นั่นเป็นแค่ภาพที่ปรากฏ หรือเป็นการ “หยุด” ในเชิงปรากฏการณ์ และชั่วคราวเท่านั้น
เท่าที่ผมประเมินจากคนที่ผมสัมพันธ์ด้วย ส่วนใหญ่เข้าใจถึงความจำเป็นว่าจะต้องมีใครมาหยุดไม่ให้คนจำนวนหนึ่งเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ศพแล้วศพเล่า และบาดเจ็บร่วมพันคน โดยที่กลไกของรัฐ โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ประชาชนเห็นด้วยว่าจะต้องมีใครมาหยุดอำนาจของนักการเมืองที่สามานย์ รวมทั้งการคอร์รัปชันที่เพิ่มขึ้นจนลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง
เรื่องดังกล่าวผมคิดว่า คสช.กำลังพยายามแก้ไขปัญหาอยู่นะ ผมเชื่อ ผมเห็น ใครๆ ก็เห็น แต่ประเด็นที่กำลังเป็นแนวโน้มของปัญหาก็คือ ด้วยปัญหาที่ซับซ้อนของสังคมซึ่งเกินกว่าที่ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะสามารถแก้ไขได้โดยปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชน อันถือเป็นองค์ประกอบมหึมา และสำคัญของโมเมนตัม แต่ผมคิดว่า คสช.กำลังถูกยัดไส้ด้วยข้าราชการประจำชั้นผู้ใหญ่ที่มีกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลัง
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่เล็ดลอดออกมา (แต่ยังไม่เป็นข่าว) ก็คือ ความพยายามที่จะนิรโทษกรรมเรืออวนลาก ที่เป็นเรือประมงพาณิชย์ที่ทำลายล้าง และผิดกฎหมายของกรมประมง
ข้าราชการระดับสูงของกรมประมงได้อาศัยคำประกาศของ คสช.ที่ให้มีการปราบปราม “การค้ามนุษย์” ซึ่งเกิดขึ้นบางส่วนในธุรกิจประมงพาณิชย์ เพื่อเสนอให้นิรโทษกรรมเรืออวนลากหลายพันลำ ซึ่งได้พยายามมานานนับปีแล้ว แต่ได้ถูกต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์ และกระแสสังคม
เหตุการณ์ปัจจุบันดังกล่าวจึงกลายเป็นว่า แทนที่ คสช.จะใช้อำนาจของตนไปหยุดยั้งความไม่ถูกต้องในสังคม แต่กำลังจะถูกใช้เป็นเครื่องมือไปหยุดพลังที่สร้างสรรค์ของประชาชน ที่ร่วมกันรักษาฐานทรัพยากรแหล่งอาหารของชาวประมงพื้นบ้าน ที่ได้เรียกร้องให้ยกเลิกเรืออวนลากที่ผิดกฎหมายมานานแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะกลไกของรัฐไม่ทำงานตามที่ควรจะเป็น
ในอดีต ในช่วงรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นสมัย รสช. (2534) และ คมช. (2549) เหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว เช่น การให้สัมปทานดาวเทียม การแก้กฎหมายปิโตรเลียมให้บริษัทต่างชาติสามารถมีแปลงสัมปทานได้อย่างไม่จำกัดนับแสนตารางกิโลเมตร การยัดแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (หรือแผนพีดีพี) เป็นต้น
นี่คือบทเรียนในอดีตที่ คสช.ควรต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงในปัจจุบันนี้ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะความพยายามยัดไส้ในกรมประมงเท่านั้น แต่กำลังจะมีโครงการลวงโลกนับแสนล้านบาทในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน 800 เมกะวัตต์ การจะเปิดให้สัมปทานรอบใหม่ด้วยคำขู่ว่า จะขาดแคลนพลังงาน ทั้งๆ ที่สามารถนำแสงแดดมาใช้แทนได้อย่างไม่ต้องสงสัย รวมถึงการส่งทหารไปลงพื้นที่ที่เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทุนกับกลุ่มอนุรักษ์ฐานทรัพยากร ทั้งโปแตส และปิโตรเลียม เป็นต้น
ทางเดียวที่ท่านจะสามารถรอดปากเหยี่ยวปากกาที่จะคอยยัดไส้จากทุกกรณีก็คือ การยึดหลัก 3 ประการที่ผมได้เสนอไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนคือ (1) การทำความคิดให้เป็นระบบ (2) การมีความกล้าหาญในการตัดสินใจ ไม่ใช่ประชานิยม และ (3) การถือหลักการว่าประชาชนคือ พันธมิตรที่สำคัญที่สุด ต้องอิงประชาชน ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม
ประชาชนกำลังสะสมโมเมนตัมที่มีพลังมหาศาล ประวัติศาสตร์สอนเราเสมอมาว่า ใครก็ตามหากไม่ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ก็จะพังทุกราย ไม่ช้าก็เร็ว
ผมพูดถึง “โมเมนตัม” มามากแล้ว แต่ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก เป็นปัจจัยในทางฟิสิกส์เช่นกัน คือ “โมเมนต์ของความเฉื่อย (Moment of Inertia)” ซึ่งด้วยคำแปลในภาษาไทยทำให้คนประมาท หรือสบประมาทมัน เพราะไปคิดว่ามันเฉื่อย มันขี้เกียจ
ความจริงแล้วคำว่า “Inertia” หมายถึงความขี้เกียจ แต่ความขี้เกียจไม่ได้มีด้านเดียว มันมีอีกด้านหนึ่งที่มักมองข้าม กล่าวคือ ถ้าวัตถุนั้นมันอยู่กับที่ อยู่นิ่งๆ แล้วมันขี้เกียจจะเคลื่อนที่ แต่ถ้ามันเคลื่อนที่อยู่แล้วมันก็ ขี้เกียจจะหยุด ใช่ขี้เกียจจะหยุด
ตรงที่ ขี้เกียจจะหยุด (ซึ่งหมายถึงหยุดยาก) นี่แหละน่ากลัวครับ
ผมเคยพูดเปรียบเทียบถึง “ทฤษฎีการหมุนไข่” ไว้นานแล้วว่า
ถ้านำไข่ต้มสุกแล้วทั้งฟองโดยที่ยังไม่ปอกเปลือกมาหมุนเบาๆ บนพื้นโต๊ะที่มีความเรียบ จากนั้นใช้ฝ่ามือแตะเบาๆ ให้ไข่หยุดหมุน จากนั้นก็ยกมือออกทันที ปรากฏว่าไข่สุกจะหยุดนิ่งอยู่กับที่อยู่อย่างนั้น
แต่ไข่ดิบไม่ยอมหยุดหลังจากเอามือออกแล้ว เพราะมันมี “โมเมนต์ของความเฉื่อย” มันขี้เกียจจะหยุด
คนขับรถบรรทุกน้ำ หรือน้ำมันจะทราบดีว่า การหยุดรถบรรทุกน้ำนั้นมันยากกว่าการหยุดรถบรรทุกดินเป็นไหนๆ เพราะน้ำหรือน้ำมันในรถมีโมเมนตัมของความเฉื่อยอยู่ ยังเคลื่อนที่อยู่ และขี้เกียจจะหยุด “รถหยุดแล้ว แต่น้ำยังไม่หยุด”
ปัจจุบันนี้คนไทยอยู่ในสภาวะที่มีโมเมนตัมที่เป็นความหวังที่ใหญ่โตมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และเมื่อประกอบกับมี “โมเมนต์ความเฉื่อย” มาเสริมอีก จึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากครับ
ผมหวังว่า คสช.คงจะเข้าใจเจตนาดีของผมนะครับ และผมก็เชื่อว่า คสช.ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า การศึกครั้งนี้สำคัญ และใหญ่หลวงนัก แต่แค่นั้นยังไม่พอครับ ต้องยึดหลัก 3 ประการ พร้อมกับการน้อมรับพลังของประชาชนที่อยู่ในรูปของ “โมเมนตัม” และ “โมเมนต์ความเฉื่อย” ด้วย
ก่อนจะจบผมขอนำเสนอรูปให้พิจารณา 2 รูป รูปแรกดูเผินๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ดูนานๆ จะเห็นว่ามีปัญหา และหลอกลวงเต็มไปหมด คสช.กรุณาดูดีๆ ดูนานๆ อย่าให้ใครมาหลอกเรา
ภาพที่สองเป็นภาพอุปมาอุปไมยที่เรียกว่า “ตาบอดคลำช้าง” ซึ่งเป็นคำสอนไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น
แต่สิ่งที่ผมจะเสริมก็คือ ถึงแม้ว่าเป็นคนตาดีก็เถอะ แต่ถ้าเห็นและรับรู้เฉพาะแค่ตัวช้าง โดยไม่เห็นบริบทรอบๆ ตัวของช้างด้วย เช่น ช้างกินอยู่อย่างไร ทำไมช้างจึงถูกฆ่าเพื่อเอางา (ดังเป็นข่าว) ก็ยังเรียกว่าเป็นคนที่มีความคิดอย่างไม่เป็นระบบอยู่ดีนั่นแหละ
แต่ขออย่าได้ท้อถอยกับ “โลกที่ซับซ้อน” ตามชื่อคอลัมน์นี้นะครับ