รายงานโดย...ทีมข่าวภูมิภาค
หน่วยงานความมั่นคงยืนยันว่า ช่วงสุดสัปดาห์นี้ “นายสหชัย เจียรเสริมสิน” หรือ “เสี่ยโจ้” ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์ซักถามภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ภายใต้คำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เร่งนับเงินสดที่นำออกมาจากตู้เซฟทั้ง 3 ตู้ของเขา
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า ภายในตู้เซฟทั้ง 3 ใบ มีทั้งเงินไทย และเงินตราสกุลต่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จึงต้องมีการตรวจสอบ และนับจำนวนอย่างละเอียด เพื่อความชัดเจนในการตรวจหาที่มาที่ไปของเงินจำนวนดังกล่าว
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากนโยบายการตรวจสอบตรวจค้นบุคคล และสถานที่ต้องสงสัยเกี่ยวกับการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมายของ คสช.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นำโดย พ.อ.จตุพร กลัมพะสุต เป็นหัวหน้าชุด เข้าตรวจสอบสิ่งของต้องสงสัยภายในบ้านพัก นายสหชัย หรือเสี่ยโจ้ ซึ่งยังถูกใช้เป็นสำนักงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เลขที่ 103/49 ถ.นาเกลือ ม.8 ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี
โดยเจ้าหน้าที่ได้อายัดพยานหลักฐานหลายรายการ เช่น เรือบรรทุกน้ำมันแบบดัดแปลงมาจากเรือประมงจำนวนหลายลำ รวมทั้งรถบรรทุกน้ำมันอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีเอกสารอีกหลายรายการซึ่งยังต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ต่อเสี่ยโจ้ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2555 เจ้าหน้าที่ชุดเดียวกันเคยเข้าตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ของเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งข้อมูลของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า ในวันนั้นได้ทำการอายัดหลักฐานต้องสงสัยจำนวน 6 รายการ มาตรวจสอบ ประกอบด้วย
1.รถบรรทุกน้ำมันขนาด 15,000 ลิตร 2 คัน 2.รถห้องเย็นดัดแปลงเป็นรถบรรทุกน้ำมัน 2 คัน 3.ไม้แปรรูปขนาดใหญ่ประมาณ 1,800 ท่อน 4.วิทยุและอุปกรณ์สื่อสาร 3 ชุด 5.เงินสดสกุลต่างประเทศ และเงินบาทไทย ประมาณ 23 ล้านบาท 6.เอกสารที่เกี่ยวข้องกว่า 2,000 รายการ คอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง โพยหวยใต้ดิน และซีดีภาพยนตร์ลามกอนาจาร 500 แผ่น
แต่หลักฐานชิ้นสำคัญในครั้งนั้น เจ้าหน้ากลับไปเก็บได้จากกองขยะที่ถูกจุดไฟเผา ซึ่งมีบางส่วนที่ไฟยังเผาไม่หมด!!
“วันนั้นมีฝนตก เอกสารเลยไหม้ไฟไม่หมด เมื่อนำมาตรวจสอบก็พบว่า เป็นบัญชีรายชื่อผู้ที่ได้รับเงิน หรือสิ่งของต่างๆ จากนายสหชัย หรือ “เสี่ยโจ้” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระบุไว้ โดยในบัญชีดังกล่าวระบุชื่อบุคคลหลายสาขาอาชีพ รวมทั้งข้าราชการหลายระดับที่เสี่ยโจ้มีความเกี่ยวพันด้วย ทั้งหมดกำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ในขณะนี้
“การตรวจสอบหลักฐานต่างๆ จากการตรวจค้นครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกๆ หน่วยงานจะให้ความร่วมมือด้วยดี และกล้าที่จะเข้าไปตรวจสอบมากขึ้น เปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ กอ.รมน.ภาค 4 ได้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาตรวจสอบสิ่งของต้องสงสัยต่างๆ เพื่อสร้างความกระจ่างแจ้ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาตรวจสอบสิ่งของต้องสงสัยที่ได้อายัดไว้”
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งตรวจค้นบ้านพัก นายสหชัย เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2555 ต่อมา วันที่ 2 พ.ย.2555 เขาได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ในฐานความผิดทางสรรพากร พร้อมยื่นประกันตัวด้วยเงิน 5 แสนบาท ซึ่งทาง DSI ไม่ได้คัดค้านการประกันตัวแต่อย่างใด
หลังได้รับประกันตัว วันที่ 5 พ.ย.2555 เสี่ยโจ้ แถลงข่าวปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าสิ่งของผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเถื่อน หรือไม้เถื่อน อีกทั้งปฏิเสธว่าไม่เคยให้เงินสนับสนุนกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด
ว่ากันว่า เสี่ยโจ้ เป็นคนละเอียดต่อการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย จึงจดบันทึกทุกอย่างไว้กันลืม!!
จึงเป็นไปได้ยิ่งว่า ในบัญชีจ่ายส่วยของเสี่ยโจ้ที่ไหม้ไฟไปไม่หมดครั้งนั้น น่าจะเป็นเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ได้บ้างว่า มีรายชื่อของกลุ่มก่อความไม่สงบรวมอยู่ด้วยหรือไม่ หรือมีข้าราชการคนใด เจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายไหน รวมถึงสื่อมวลชนต่างๆ เหล่านี้น่าจะเป็นเบาะแสให้ได้สืบสาวกันบ้างแหละ
แหล่งข่าวในชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ตั้งข้อสังเกตจากการเข้าตรวจค้นเมื่อวันที 17 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า สถานประกอบการทำธุรกิจค้าไม้แห่งนี้มีประเด็นน่าสงสัยหลายอย่าง เช่น เหตุใดไม้ซุงขนาด 3-4 คนโอบ จำนวนเกือบ 2 พันท่อน จึงยังวางกองตากแดดตากฝน ทำไมไม่เคลื่อนย้ายส่งไปแปรรูป หรือส่งไปขายที่ไหน นับตั้งแต่การตรวจค้นเมื่อ 2 ปีก่อน
“ตอนนี้มีการตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมมีการขออนุญาตนำเข้าไม้ซุงจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำไมไม้ซุงบางท่อนมีลักษณะถูกเจาะเป็นช่องๆ หรือเพื่อต้องการซุกซ่อนอะไรบางอย่าง เรื่องเหล่านี้คงต้องใช้เวลาตรวจสอบพอสมควร เนื่องจากเป็นไม้ซุงขนาดใหญ่และจำนวนมาก”
การตรวจค้นครั้งล่าสุดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ประสานไปยัง DSI ให้ยื่นถอนประกันเสี่ยโจ้แล้ว เพื่อสอบสวนดำเนินคดีอีกครั้งในฐานความผิดเดิมคือ คดีทางสรรพากร เนื่องจากมีหลักฐานที่พบระบุว่า ยังมีการทำผิดในคดีดังกล่าวต่อเนื่องมาจนถึงขณะนี้ แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะอยู่ในระหว่างประกันตัวเพื่อต่อสู้ทางคดีก็ตาม
แต่ปรากฏว่า คำตอบที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้รับกลับมาคือ คดีดังกล่าวที่อยู่ในมือของ DSI ได้หมดอายุความไปแล้ว?!
สำหรับ นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ปัจจุบันอายุ 46 ปี พื้นเพเป็นชาว จ.เพชรบุรี ซึ่งครอบครัวได้ย้ายภูมิลำเนาไปประกอบธุรกิจประมงที่ จ.ปัตตานีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ปี แต่ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือ การดูดเศษน้ำมันเดินเรือที่เหลือจากท้องเรือประมงพาณิชย์นำกลับขึ้นไปขายบนชายฝั่ง โดยจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าน้ำมันทั่วไปด้วย เนื่องจากเป็นน้ำมันเหลือใช้จึงได้มาในราคาแสนถูก
ต่อมา เสี่ยโจ้ ได้กระโดดเข้าสู่ธุรกิจค้าน้ำมันอย่างเต็มตัว โดยมีเรือดัดแปลงนับสิบลำสำหรับบรรทุกน้ำมันส่งขายเรือประมงนอกชายฝั่ง ขณะเดียวกัน ก็มีรถบรรทุกสำหรับส่งน้ำมันขายตามพื้นที่ต่างๆ อีกจำนวนหลายคัน ส่วนธุรกิจค้าไม้เป็นการนำเข้าไม้ซุงจากประเทศลาว และพม่าเป็นหลัก โดยมีสำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัด สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ที่ จ.หนองคาย อีก 1 แห่ง
ทั้งนี้ เสี่ยโจ้ เคยถูกจับกุมครั้งแรกในข้อหาค้าหวยใต้ดินเมื่อวันที่ 1 ส.ค.2546 โดย พล.ต.ต.ปัญญา เทียนศาสตร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ในขณะนั้นถึงกับได้รับรางวัลนำจับจากนายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง ตามนโยบายปราบปรามหวยใต้ดินของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นเงินถึง 100,000 บาท
ต่อมา วันที่ 6 ต.ค.2556 ชื่อของเสี่ยโจ้ ปรากฏในข่าวอีกครั้ง หลังเจ้าหน้าที่บริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในขุมข่ายธุรกิจของเขาเองเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก.ป. (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) ว่า เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2556 เรือขนเงินของบริษัทถูกปล้นบริเวณนอกชายฝั่ง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีลูกเรืออยู่ 8 คน แต่ถูกยิงเสียชีวิตไป 7 คน ที่เหลือ 1 คน กลับหายตัวไป ขณะที่เงินสดทั้งเงินไทย และต่างประเทศเกือบ 120 ล้านบาทก็หายไปด้วย
กระทั่งวันที่ 24 ต.ค.2556 ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ 4 คน ทั้งหมดสารภาพว่าร่วมกับลูกเรือที่รอดชีวิตวางแผนปล้นเงินดังกล่าว โดยพบว่ากลุ่มผู้ต้องหาเคยทำงานเป็นไต้ก๋งเรือที่ถูกบริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไล่ออกจากงาน
ทว่า เจ้าหน้าที่กลับสงสัยประเด็นการเคลื่อนย้ายเงินสดทางทะเล ซึ่งบริษัทแจ้งว่าทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และเรือลำที่ถูกปล้นกำลังจะนำเงินไปส่งให้ลูกค้าวีไอพีที่เกาะโลซิน??
ภายหลังตรวจสอบพบว่า เกาะโลซิน ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่ง อ.หนองจิก ประมาณ 70 กิโลเมตร แต่กลับเป็นเกาะโขดหินโสโครก มีเพียงสัญลักษณ์เป็นเสาใช้ป้องกันเรือเข้าไปเกยตื้นหรือชนกับแนวหินโสโครก ไม่มีต้นไม้ หรือที่พักอาศัยอยู่บนเกาะดังกล่าวแต่อย่างใด
จากนั้นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจของเสี่ยโจ้อยู่ในการติดตามเฝ้าจับตามองของชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มาโดยตลอด เพราะอาจพัวพันกับขบวนการค้าสิ่งผิดกฎหมาย และมีการฟอกเงิน รวมทั้งการเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้แก่กลุ่มก่อความไม่สงบ ซึ่งเป็นคดีร้ายแรงหากพบว่าเป็นความจริง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา เสี่ยโจ้ ได้สารภาพว่าค้าน้ำมันเถื่อนจริง แต่อ้างว่าค้าเฉพาะในทะเล และอยู่นอกเขตน่านน้ำไทย
ที่น่าสนใจคือ “บัญชีส่วย” ที่ชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อนยึดไว้ได้นั้น ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจาก กอ.รมน.ว่า มีหน่วยงานใดเกี่ยวพันกับเรื่องนี้บ้าง เพราะมีกระแสข่าวร่ำลือกันหนาหูใน จ.ปัตตานีว่า...
ขนาดนายตำรวจระดับสูงอยากจะกินปลาแห้ง ก็ต้องสั่งให้ลูกน้องยกหูโทร.ไปบอกเสี่ยโจ้!?