คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
ชั่วข้ามคืนที่ “บิ๊กอาจ” พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผบก.ภ.ภูเก็ต เพื่อนรัก “ทักษิณ” ถูกเก็บยัดกรุภาค 8 ก่อนหมดอายุราชการเพียง 4 เดือน หลังได้โบนัสข้ามห้วยข้ามทะเล จากโคราชมาอยู่ภูเก็ต กองกำลัง 3 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ออกกวาดล้างตามโรดแมป คสช. “คืนความสุขให้ประชาชน” รื้อซุ้มแท็กซี่อิทธิพลหน้าโรงแรม 5 ดาว ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้นักท่องเที่ยวทั่วเกาะภูเก็ต ตามหมายจับ 111 ผู้ต้องหาแท็กซี่อิทธิพล อลเวงแตกตื่นทั้งเมือง เหมือนป่าช้าแตก
รัฐบาล “แก๊งปูนิ่ม” ชุดที่ผ่านมาชูนโยบายประชานิยมสุดกู่ มอมเมาให้ประชาชนสร้างหนี้ในครัวเรือนกันทั่วถึงทั้งประเทศที่ขาดบันยะบันยัง มีทั้งหนี้รถคันแรกตั้งแต่เป็นนักศึกษา หนี้มือถือ หนี้บัตรเครดิต ผ่อนกันไม่มีสิ้นสุด ด้วยเป็นหนี้ดินพอกหางหมู
แล้วที่สำคัญ ออกมาชูนโยบายรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน ดึงภาคเอกชนเข้าร่วมเป็นปี่ขลุ่ยบรรเลงกันคึกคักครึกครื้น
สุดท้าย กลายเป็น “ปากว่า ตาขยิบ” เบี้ยวกันซึ่งๆ หน้า กระทั่งชาวนา ไม่มีทุนทำนา
ขณะเดียวกัน เมื่อปี 2 ปีที่ผ่านมา ก็ปล่อยผีเครือข่ายสัมภเวสี “ทักษิณ ชินวัตร” เดินสายกระจายไปทุกจังหวัดที่เป็นทำเลทอง ทั้ง DSI และตำรวจ แทรกแซง “เสือก” ไปทุกเรื่องราว ทุกท้องที่ เจ้าของถิ่นยืนกุมเป้ากางเกงรอต้อนรับ รายงาน รับใช้ และจัดหา หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาเดือนละ 3-4 ครั้ง ทั้งแบบลับ และเป็นทางการ
“DSI” สมุนเจ้าพ่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ขณะนั้น เจ้ากี้เจ้าการทุกเรื่อง ไม่ว่าจะรุกป่า มาเฟีย ผู้มีอิทธิพลในเมืองท่องเที่ยวทุกภาค
ที่ภูเก็ต เข้าไปกวนจนป่วน อลเวง แล้ว “ตีกิน” แชร์เอาผลประโยชน์ใส่ตัว จัดระเบียบวางกำลัง เครื่องมือทั้งลอบ ทั้งไซ แห อวนล้อมไว้หมด ปลาสร้อย ปลาเล็กปลาน้อย หมดสิทธิหลุดถึงมือเจ้าของท้องที่
ผู้มีอิทธิพล แท็กซี่ป้ายดำ ไกด์ สถานบันเทิง ทั้งเกาะ เข้าจัดระเบียบกวาดเรียบ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ขนส่ง ได้แต่มองหน้ากันเลิกลัก ผู้ว่าฯ หัวเรือใหญ่ในพื้นที่น่าจะมีพรายกระซิบจากริมคลองหลอดแจ้งล่วงหน้า ว่า เขามาโดยเส้นสาย เลยใช้วิชาของนักการเมือง ก่อนจะเป็นนักการเมืองในอนาคต
เจอสื่อก็ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ด้วยสุดยอดวาทะนักจิตวิทยา ว่าไปตามน้ำตามลม ตามระเบียบ เวลาเข้าประชุมร่วมก็โบ้ยส่ง เรื่องบู๊ก็ รองฯ จำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา กึ่งบู๊กึ่งบุ๋นก็ รองฯ สมเกียรติ สังข์ขาวสุทธิรักษ์ ถ้าเป็นเรื่องวิชาการก็ รองฯ สมหมาย ปรีชาศิลป์ ต่างรับหน้าเสื่อไป
น่าเวทนาที่สุดก็เห็นจะเป็น พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูเก็ต ที่กำลังรอเกษียณขณะนั้น ได้แต่มองตาปริบ กลืนน้ำลายทุกครั้ง ที่ฝูง DSI เข้าภูเก็ต
บริเวณที่พวกนี้เข้าไปตีกินไม่ได้ ก็ในบริเวณการท่าอากาศยานเท่านั้น เจ้าของหวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ไม่ว่าจะเรื่องร้านค้า เรื่องแท็กซี่ รถบริการที่หากินอยู่ที่การท่าฯ วุ่นไปวุ่นมา ในที่สุดก็งาบเอาไปบริหารจัดการเองในรูปแบบเดียวกันหมดทั้งประเทศ
บริเวณการท่าฯ ของข้าฯ ใครอย่าแตะ แบะท่าผู้ทรงอิทธิพล “มาเฟีย” ระดับชาติ
คล้อยหลังฝูง DSI และเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางลงมาตีกินได้ไม่นาน ก็เข้าช่วงหมุนเวียนสับเปลี่ยนกำลังพลระดับ ผู้บังคับการ เพื่อความเหมาะสม (ที่อ้างกัน) ในการปฏิบัติหน้าที่แต่ละจังหวัด
ขอย้อนอดีต ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะตำรวจ ผู้กุมบังเหียนหน่วยงานนี้คือ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็น ผบ.สตช. รู้กันว่าอยู่ในอาณัติของนายใหญ่สัมภเวสี “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ถูกสายสิญจน์อาญาแผ่นดินกั้น เข้าประเทศไม่ได้ ถ้าเข้าก็ถูกจับ... ยัดซังเต
การสับเปลี่ยนโยกย้ายของคนมีสี “กลุ่มหมาต๋าเหลือง” อันที่จริงเป็นการปูนบำเหน็จให้เด็กเส้นเด็กสาย คนในเครือข่ายนายใหญ่สัมภเวสี ไปหาผลประโยชน์ในแต่ละพื้นที่ ตามความสามารถของแต่ละคน
ภูเก็ต เมืองเงินเมืองทองทางด้านการท่องเที่ยว สถานบันเทิง บ่อนการพนัน ยาเสพติดมีเกลื่อน ชนิดวิ่งเข้าชนเอง
“บิ๊กอาจ” พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผบก.ภ.นครราชสีมา หรือโคราช นายตำรวจที่เติบโตจากทางภาคอีสาน เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.สตช. รับคำสั่งย้ายข้ามห้วยข้ามทะเลมานั่งเก้าอี้รั้งตำแหน่งเดิมที่ภูเก็ต ในเดือนตุลาคม 2556 ขณะที่เหลือเวลาเพียงปีเดียวก็จะเกษียณ
“บิ๊กอาจ” เองก็ยอมรับว่า ตนเป็น “เพื่อนรักทักษิณ” สรุป เป็นการมาพักผ่อน แต่แปลกที่ไต่อันดับช้าพิลึก
ก่อนมาฮือฮากันสุดๆ เมื่อกลางเดือนกันยายน 2556 รับคำสั่ง สัมภเวสี “ทักษิณ ชินวัตร” ให้นำเงิน 3 ล้านบาทเศษ ไปถวายหลวงพ่อคูณ ร่วมทำบุญสมทบทุนสร้างพระพุทธลีลา ปางประทานพร ที่อุทยานธรรม วัดบ้านไร่ โคราช
ย่างก้าวเข้าภูเก็ตใหม่ๆ โคตรคึกคัก พร้อมที่จะสัประยุทธ์ ประมือกับกลุ่มอิทธิพลทุกหมู่เหล่า จัดตั้งศูนย์ร้องเรียน ใครถูกอิทธิพลรังแก แจ้งสายตรงมาที่ “PHUKET POLICE TOURIST CARE” เป็นการประกาศให้ผู้มีอิทธิพลทุกกลุ่มทราบ โดยเฉพาะกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำ
“ถ้าใครทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ตำรวจภูเก็ตพร้อมจัดการทันที ไม่ต้องรอให้ใครลงมาทำ ผมนี้แหละจะดำเนินการเอง จัดการเองสำหรับคนที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล”
แต่กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มก็ยังออกฤทธิ์สำแดงเดชกันชนิดถึงพริกถึงขิง เกือบทุกสาขาอาชีพ ทั้งแท็กซี่ป้ายดำ รถตู้เถื่อน บ่อนการพนัน สถานบันเทิงตามแหล่งท่องเที่ยว ก็ไม่เห็นมีใครกลัว “เสือกระดาษ” เสียงคำรามของ “บิ๊กอาจ” รวมทั้งฝูง DSI ที่เพ่นพ่านเกลื่อนเมือง มีข้ามเขตข้ามแดนจากภาค 9 ร่วมวงด้วย
เกิดข่าวลือ ซุบซิบกันในวงสีกากี แบ่งเค้กไม่ลงตัว ทำให้ “ส่วย” เป็นพิษ แตกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า ต่างออกตระเวนเก็บกันชนิดซ้ำซาก ตามด้วยอีกหลายหน่วย จนผู้ประกอบการร้องจ๊าก กำไรถูกนำไปจ่าย “ส่วย” จนเกลี้ยงเก๊ะ
กลางเดือนตุลาคม 2556 ปีที่แล้ว “บิ๊กอาจ” นั่งเก้าอี้ก้นไม่ทันร้อน ฮือฮากันว่อนสื่อมาแล้วหนหนึ่ง มีการหอบเอกสารมาแฉ “ส่วยป่าตอง” อึกทึกครึกโครม แล้วก็มีอีกลุ่มโผล่มาเต้นแร้งเต้นกาปฏิเสธ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีอิทธิพลในเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่น ที่เป็นผู้ประกอบการหลากหลายอาชีพ
ฝ่ายออกมาแฉว่า สถานบันเทิงย่านป่าตองต้องจ่าย “ส่วย” ร่วม 9 ล้านบาทต่อเดือน ให้เจ้าหน้าที่รัฐถึง 17 หน่วยงาน ไม่ระบุว่าเป็นตำรวจหรือเป็นใคร ส่วนฝ่ายปฏิเสธ ก็เป็นผู้ประกอบการสถานบันเทิงเหมือนกัน ออกมาปกป้องชัดถ้อยชัดคำ
“เรื่องนี้เหมือนเรื่องผี บางคนเชื่อว่าผีมีจริง บางคนก็ไม่เชื่อ แต่ผมไม่เชื่อ มันเป็นการให้การสนับสนุน ไม่ผิดกฎหมายใดๆ และไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้สนับสนุนภาครัฐ ตำรวจในยุคใหม่มีการพัฒนาดี จริงใจ เข้าใจผู้ประกอบการ อะลุ้มอล่วยในสิ่งที่ทำได้”
วาทะนี้ต้องให้เกียรติเอ่ยชื่อเจ้าของสักนิดคือ “ปราบ ปรีชาวุฒิ กี่สิ้น” ผู้ประกอบการธุรกิจในป่าตองหลายอย่างรวมทั้งสถานบันเทิง ทายาทของอดีตนายกฯ ป่าตองหลายสมัยนั่นเอง
ผู้ที่ถูกพาดพิงไม่ว่าจะเป็นตำรวจกระทู้เจ้าของท้องที่ หรือ “บิ๊กอาจ” หัวเรือใหญ่ กองบังคับการฯ ภูเก็ต ต่างดูดอมยิ้มชื่นมื่น
แต่จู่ๆ ต้นเดือนมิถุนายน 2557 ที่ผ่านมานี่เอง เหมือนถูกผีหลอกกลางวัน คนที่ผ่านไปมาบริเวณถนนราษฎร์อุทิศ 200 ปี และถนนทวีวงษ์ ย่านหาดป่าตอง ต่างเห็นป้ายข้อความหน้าร้าน หลากหลายข้อความ ในทำนอง
ถูกรีด “ส่วย” จนต้องปิดร้านหนี
รู้ถึงสื่อก็วิ่งโร่ไปถาม “บิ๊กอาจ” พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผบก.ภ.ภูเก็ต ก็ได้รับการชี้แจงว่า ได้รับรายงานแล้ว ตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่าไม่มีตำรวจในพื้นที่เกี่ยวข้อง แต่ก็พอจะทราบว่าเป็นหน่วยงานไหน และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว แต่ถ้าสื่ออยากรู้ เป็นหน่วยงานไหน ก็ให้ไปถามเจ้าของร้านผู้ประกอบการเอาเอง
ปัดกวาดขยะพ้นหน้าบ้านเรียบร้อย
จากนั้น 2-3 วัน “บิ๊กอาจ” ถูกเก็บยัดกรุกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ก่อนเกษียณ 4 เดือน แล้วโยกให้ พล.ต.ต.กระจ่าง สุวรรณรัตน์ รอง ผบช.ภ.ภาค 8 มารักษาราชการแทน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.8
คล้อยหลังที่ “บิ๊กอาจ” ถูกเก็บยัดกรุได้ 2 วัน เกิดฟ้าผ่าเมืองภูเก็ตอีกรอบ ด้วยกองกำลังผสม 3 ฝ่ายทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ร่วม 1,000 นาย ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ปัญา มาเม่น ได้เข้ารื้อซุ้มคิวรถแท็กซี่อิทธิพลหน้าโรงแรม 5 ดาวทั่วเกาะภูเก็ต ชนิดถอนรากถอนโคน พร้อมหมายจับ 111 ผู้ต้องหาเจ้าของแท็กซี่ที่ทำอัปรีย์ไว้ สอบสวนดำเนินคดีย้อนหลังทุกกระทงความของแต่ละบุคคล แล้วส่งเรื่องให้ ปปง.ดำเนินการต่อ
วันเดียวกระเจิงทั้งเกาะ นี่แหละ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา!
เป็นการตบหน้าฝูง DSI และเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางทั้งฝูง ที่เข้ามาจัดระเบียบรถแท็กซี่อิทธิพลในภูเก็ต ชนิดหน้ามือแล้วย้อนกลับด้วยหลังมือ
โอ๊ย.... มันส์!!
ยังพ่วงเอาขบวนการปิดถนน หลายต่อหลายแห่ง ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวที่สัญจรไปมา ขี้เยี่ยวราดต้องวิ่งเข้าป่าข้างทาง ด้วยคิดว่า ข้าฯ ใหญ่ มีนักการเมืองท้องถิ่นเป็นแบ็ก สุดท้ายแบ็กกลับหดหัวเข้ากระดอง หางจุกตูดเงียบ
ก็ไม่ต้องวิเคราะห์ วิจารณ์กันละ เพราะทุกอย่างต่างก็รู้กันดี ใครทำอะไร ที่ไหนอย่างไรไม่มีใครพูด ต่างเป็นน้ำท่วมปาก ได้โอกาสก็พ่นใส่หน้ากันเต็มๆ ต่างก็เลอะด้วยกัน
ก็สรุปได้ว่า “บิ๊กอาจ” พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ เข้ากรุก่อนเกษียณตาม “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เพื่อนร่วมรุ่นนั้นชัวร์ ไม่น่าอาย ไปตามสถานการณ์ด้วยหมดยุค ถ้ามี “ส่วย” พัวพัน “คสช.” อาจจะยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะส่วนใหญ่เหมือนกันหมด “หมาไม่กินขี้” หายาก
แต่ช่วงที่สถานประกอบการปิด “หนีส่วย” โดยขึ้นป้ายผ้าประกาศชัดเจนหลายแห่งย่านป่าตอง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และเป็นช่วงที่“คสช.” เข้ามาบริหารจัดการ “คืนความสุขให้ประชาชน” นี่สิ คงไม่ใช่เป็นการกลั่นแกล้งใครเป็นการส่วนตัวแน่
ถ้า พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.8 ที่อดหลับอดนอนเฝ้ารักษาอู่ข้าวอู่น้ำทางการท่องเที่ยวอยู่ในภูเก็ต ไม่ชำเลืองดู ก็ใจดำเกินไปละ.