พังงา - ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เผยจัดทำโซนนิ่งภาคการเกษตรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาด รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรมการเกษตร บริหารจัดการสินค้าข้าวอย่างยั่งยืน
นายธำรงค์ เจริญกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลในการจัดทำโซนนิ่งภาคการเกษตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต บริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาด รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรที่ใช้วัตถุดิบในการผลิต อันจะทำให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตร พร้อมรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จังหวัดพังงา ไม่ได้ถูกกำหนดเป็นเขตเหมาะสมสำหรับการปลูกข้าว แต่การปลูกข้าวของจังหวัดพังงาเป็นวิถีชีวิตความพอเพียงของเกษตรกร ซึ่งปลูกเพื่อการบริโภคของครัวเรือน และชุมชน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า จากสภาพอากาศ และภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง พื้นที่นาได้ถูกเปลี่ยนเป็นปาล์มน้ำมัน ในปี 2556 เหลือพื้นที่นาในอำเภอ-เกาะยาว เพียง 1,718 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 321 กิโลกรัม/ไร่ ปริมาณผลผลิต 552 ตัน มูลค่าผลผลิต 10.11 ล้านบาท จำนวนครัวเรือนเกษตรกร 613 ครัวเรือน ซึ่งอยู่ในเขตไม่เหมาะสมในการปลูกข้าวถึงร้อยละ 70 เหมาะสมน้อยร้อยละ 30 แต่เกษตรกรยังคงอนุรักษ์การทำนาไว้เป็นวิถีชีวิต และเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมในพื้นที่
สำหรับการปลูกข้าวไร่พันธุ์ดอกข่า ในพื้นที่อำเภอท้ายเหมือง และอำเภอเมืองพังงา พื้นที่ 754 ไร่ ปลูกเพื่อการบริโภค และจำหน่าย เป็นที่นิยมรับประทานของคนในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียง เกษตรจังหวัดพังงา ยังกล่าวอีกต่อไปว่า เพื่อให้การบริหารจัดการสินค้าข้าวอย่างยั่งยืน จังหวัดพังงาได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการบริหารจัดการสินค้าข้าว และมีการประชุมคณะทำงานเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนา ได้แก่ การอนุรักษ์พื้นที่ทำนาแบบวิถีชีวิตความพอเพียง เป็นวัฒนธรรมในพื้นที่อำเภอเกาะยาวให้คงอยู่ควบคู่กับการท่องเที่ยว และส่งเสริมการปลูกข้าวไร่พันธุ์ดอกข่า ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่มีคุณภาพดี และเป็นสินค้าเกษตรที่สร้างชื่อเสียงให้จังหวัดพังงา โดยปลูกแซมในพื้นที่สวนยางพารา สวนปาล์ม-น้ำมัน และพื้นที่ว่างเปล่าเพิ่มเติม เพื่อการบริโภค สร้างรายได้เพิ่ม และยังเป็นการลดความเสี่ยงจากการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวอีกด้วย
นายธำรงค์ เจริญกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลในการจัดทำโซนนิ่งภาคการเกษตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต บริหารจัดการผลผลิตให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาด รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรที่ใช้วัตถุดิบในการผลิต อันจะทำให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตร พร้อมรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จังหวัดพังงา ไม่ได้ถูกกำหนดเป็นเขตเหมาะสมสำหรับการปลูกข้าว แต่การปลูกข้าวของจังหวัดพังงาเป็นวิถีชีวิตความพอเพียงของเกษตรกร ซึ่งปลูกเพื่อการบริโภคของครัวเรือน และชุมชน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า จากสภาพอากาศ และภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง พื้นที่นาได้ถูกเปลี่ยนเป็นปาล์มน้ำมัน ในปี 2556 เหลือพื้นที่นาในอำเภอ-เกาะยาว เพียง 1,718 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 321 กิโลกรัม/ไร่ ปริมาณผลผลิต 552 ตัน มูลค่าผลผลิต 10.11 ล้านบาท จำนวนครัวเรือนเกษตรกร 613 ครัวเรือน ซึ่งอยู่ในเขตไม่เหมาะสมในการปลูกข้าวถึงร้อยละ 70 เหมาะสมน้อยร้อยละ 30 แต่เกษตรกรยังคงอนุรักษ์การทำนาไว้เป็นวิถีชีวิต และเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมในพื้นที่
สำหรับการปลูกข้าวไร่พันธุ์ดอกข่า ในพื้นที่อำเภอท้ายเหมือง และอำเภอเมืองพังงา พื้นที่ 754 ไร่ ปลูกเพื่อการบริโภค และจำหน่าย เป็นที่นิยมรับประทานของคนในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียง เกษตรจังหวัดพังงา ยังกล่าวอีกต่อไปว่า เพื่อให้การบริหารจัดการสินค้าข้าวอย่างยั่งยืน จังหวัดพังงาได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการบริหารจัดการสินค้าข้าว และมีการประชุมคณะทำงานเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนา ได้แก่ การอนุรักษ์พื้นที่ทำนาแบบวิถีชีวิตความพอเพียง เป็นวัฒนธรรมในพื้นที่อำเภอเกาะยาวให้คงอยู่ควบคู่กับการท่องเที่ยว และส่งเสริมการปลูกข้าวไร่พันธุ์ดอกข่า ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่มีคุณภาพดี และเป็นสินค้าเกษตรที่สร้างชื่อเสียงให้จังหวัดพังงา โดยปลูกแซมในพื้นที่สวนยางพารา สวนปาล์ม-น้ำมัน และพื้นที่ว่างเปล่าเพิ่มเติม เพื่อการบริโภค สร้างรายได้เพิ่ม และยังเป็นการลดความเสี่ยงจากการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวอีกด้วย
