คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ปรากฏการณ์ทางการเมืองแบบ “มวลมหาประชาชน” อันพัฒนามาจากการเมืองแบบ “แยกสี” หรือ “การเมืองเหลือง-แดง” ทำให้มองเห็นตัวตน วิธัคิด มุมมองและจริตหรือจารีตของนักวิชาการ และคอการเมืองไทยในปัจจุบันได้ชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นว่า ทำไมนักวิชาการ และคอการเมืองเหล่านี้จึงคิดเห็น พูด และทำเช่นนี้
นักวิชาการกลุ่มหนึ่งมีความเชื่ออย่างสนิทใจว่า ชนชั้นกลางใหม่สมัยรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำให้คนในชนบทเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบัน คนเมืองมีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างชัดเจน เบ้าหลอมความจริง และความเชื่อทำให้สังคมคิด และเชื่อไม่เหมือนกัน (สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๕๗ : คำนำ)
นักวิชาการบางคนมีความเชื่อว่า ความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบัน ตัวละครที่มีบทบาทในพื้นที่ทางการเมืองทุกกลุ่ม และทุกคนล้วนเป็นผลผลิตมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่ซับซ้อน การปะทะระหว่างอุดมการณ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญแก่เสียงข้างมาก การทำความเข้าใจเพียงแค่ทางด้านความขัดแย้งทางการเมืองนั้นยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องทำความเข้าใจทั้งในส่วนโครงสร้างของสังคมที่เปลี่ยนแปลง และตัวบุคคลที่ได้เข้ามามีส่วนผลักดันความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้วย (อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์. ประชาธิปไตยคนไทยไม่เท่าทียมกัน. ๒๕๕๗)
นักวิชาการหลายคนให้นิยาม “คนเสื้อแดง” ไว้อย่างน่าภาคภูมิใจต่างๆ นานาว่า “ชาวนารายได้ปานกลาง” (Andrew Walker) “ชาวนาผู้รู้โลกกว้าง” (Charles Keyes) “คนชั้นกลางระดับล่าง” (นิธิ เอียวศรีวงศ์) “พลังสีแดง : การจัดตั้งของภาคการผลิตไม่เป็นทางการ” (อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์) “คนกึ่งเมือง กึ่งชนบท” (นฤมล ทับจุมพล และ ดัลแคน แมคคาโก) “พัฒนาการจิตสำนึกและขบวนการทางการเมืองของชาวเสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่” (ปิ่นแก้ว อร่ามศรี) “จากการเมืองของรากหญ้าสู่ประชาธิปไตย %” (วัฒนา สุกัณศีล)
คุณลักษณะสำคัญของคนเสื้อแดงก็คือ ความสำนึกในความสำคัญของประชาธิปไตย ซึ่งเห็นได้จากการออกมาเคลื่อนไหวภายหลังเหตุการณ์รัฐประหาร ๒๕๔๙ (อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์. ประชาธิปไตยคนไทยไม่เท่าเทียมกัน. ๒๕๕๗)
นักวิชาการ และคอการเมืองที่นิยมในความเป็นเสื้อแดง นปช. หรือพวกไพร่ และระบอบทักษิณมีฐานคิดมาจากความไม่พึงพอใจต่อลัทธิศักดินาสวามิภักดิ์ พวกอำมาตย์ ต่อต้านระบอบการเมืองการปกครองแบบ “สองมาตรฐาน” ตามวาทกรรมของฝ่ายเสื้อแดงที่ชูเป็นประเด็นในการขับเคลื่อน โดยนักวิชาการ และคอการเมืองเหล่านี้มีความเชื่อ และมีความชื่นชมโดยสนิทใจว่า ศาสดาประชาธิปไตยของพวกเขานามว่า “ทักษิณ” เป็นนักประชาธิปไตย เพียงเพราะเขามาจากการเลือกตั้ง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเสียงข้างมาก แต่ถูกอำนาจเก่านอกรัฐธรรมนูญที่สัมพันธ์กับอำมาตย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ทำลายตามหลักการของ “ลัทธิสมคบคิด” เพราะกลัวความเป็นประชาธิปไตยของทักษิณจะมาโค่นล้มทำลายศรัทธา บารมีเดิมๆ
โดยนักวิชาการเหล่านี้จงใจที่ละเลยไม่กล่าวถึงพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชัน การฉ้อฉลอำนาจของระบอบทักษิณ นับตั้งแต่การจัดตั้งพรรคการเมือง โดยการใช้เงินกว้านซื้อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองอื่นในราคาที่แตกต่างกัน ตามโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้ง เหมือนตลาดวัวควาย จนได้รับการขนานนามว่า “นักตกปลาในบ่อเพื่อน” และเมื่อได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากใสภาผู้แทนราษฎร ก็ใช้วิธีการฉ้อฉลเลี่ยงบาลี ใช้วิธีการซุกหุ้นให้แก่คนใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และใช้การแทรกแซงองค์กรตุลาการจนสามารถผ่านไปได้อย่างหวุดหวิด จนเกิดวาทกรรมอัปยศที่ว่า “บกพร่องโดยสุจริต”
หลังจากนั้นก็ยังไม่หยุดพฤติกรรมอันน่ารังเกียจนี้ ใช้อำนาจอธิปไตยในฐานะฝ่ายบริหารแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว จนแยกไม่ออกระหว่างความเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ กับหัวหน้าพรรคการเมือ งและเจ้าของบริษัทที่ทำมาหากินกับงบประมาณของแผ่นดิน จนนำไปสู่การต่อต้าน การขับไล่ของประชาชน และในที่สุดก็ถูกรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๔๙
หลังจากนั้น ระบอบทักษิณก็ยังก่อกรรมทำเข็ญ และใช้วิธีการเดิมๆ ในการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง จนนำไปสู่การถูกยุบพรรคถึงสองครั้งสองคราว ด้วยข้อหาการทุจริตการเลือกตั้งอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง และพระราชบัญญัติพรรคการเมือง มีการแทรกแซงคณะกรรมการการเลือกตั้ง จนทำให้กรรมการบางคณะติดคุกเป็นประวัติศาสตร์อันอัปยศอดสูของกระบวนการเลือกตั้งไทย
นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรัฐบาลนอมินีของระบอบทักษิณคนแล้วคนเล่าสร้างความเสื่อมเสียแก่ชาติบ้านเมืองในต่างกรรมต่างวาระกัน จนล่าสุด รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นรัฐบาลที่สร้างความตกต่ำแก่ชาติบ้านเมืองในทุกด้าน ถูกรัฐประหารไปเพราะเป็นรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ และเป็นที่เกลียดชังของมวลมหาประชาชนมากที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีรัฐบาลมา
ปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไม่ถูกนักวิชาการฝ่ายสนับสนุนเชิดชู และบูชาเสื้อแดงและระบอบทักษิณหยิบยกมาพิจารณาเลยแม้แต่น้อย แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ นักวิชาการกลุ่มนี้กลับมองไม่เห็นคุณค่าของการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนนับสิบๆ ล้านจากทั่วประเทศที่ออกมาขับไล่รัฐบาลเถื่อน รัฐมนตรีถ่อย และบริวารสถุลที่ใช้ความรุนแรง และประกาศตัวเป็นศัตรูกับประชาชนของตนเองที่ไม่เห็นด้วยต่อการฉ้อฉลอำนาจอธิปไตย ใช้อำนาจโดยปราศจากความชอบธรรม ใช้กองกำลังทั้งลับ และแจ้งทำร้ายไล่ล่า และเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์
น่ามหัศจรรย์ที่ไม่มีแม้แต่สักวรรค หรือบรรทัด หรือคำเดียวที่จะกล่าวถึงอย่างชื่นชมต่อวีรกรรมของประชาชนทั้งผู้สละชีวิตกว่ายี่สิบศพ และผู้บาดเจ็บนับพันคน ตลอดจนผู้เข้าร่วมต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีงามนับสิบล้านคน
มันเพราะอะไรกัน?