นราธิวาส - การท่องเที่ยวนราฯ ร่วมกับสมาคม “บิ๊กไบค์ ออฟโรด” ในประเทศไทย และมาเลเซีย ร่วมจัดแข่งขันรถออฟโรด หาทุนการศึกษาแก่เด็กกำพร้าซึ่งได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ โดยมีผู้เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้กว่า 800 คน และมีรถกว่า 200 คัน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจในท้องถิ่น สร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว และช่วยกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 16-18 พ.ค.57 ที่ผ่านมา นายสว่าง ศรีชัย ผอ.สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.นราธิวาส นายอัชฮารี ฮากรูน ปธ.ชมรมออฟโรดรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย นายณัฐหพันธ์ เนื้ออ่อน ปธ.ชมรมบิ๊กไบด์นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันการจัดงาน บิ๊กไบค์ ออฟโรด ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย-มาเลเซีย ขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความสัมพันธ์อันดีที่ขยายผลไปสู่การหมุนเวียนของเงินในระดับชุมชนรากหญ้า อันสามารถนำผลผลิตออกมาจำหน่ายตามสถานที่จัดงาน โดยเฉพาะพื้นที่ อ.เมือง นราธิวาส เป็นการจัดกิจกรรมจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ หาทุนบางส่วนมอบให้เด็กพร้าที่ได้รับจากผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่นราธิวาส ส่วนพื้นที่ อ.ศรีสาคร เป็นการแข่งขันรถประเภท 4X4 หรือออฟโรด
นายอัซฮารี ฮากรูน ประธานชมรมบิ๊กไบค์ ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า เมื่อพูดถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ใครๆ ก็กลัว เพราะมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่เมื่อได้ฟังฝ่ายความมั่นคงชี้แจงในการรับผิดชอบ และมาตรการรักษาความปลอดภัยของการจัดงานในครั้งนี้ ทำให้ทีมงานอุ่นใจ จากเดิมเคยส่งบิ๊กไบค์ และออฟโรดมาเลเซียมาเพียง 100 คัน แต่รอบนี้เพิ่มปริมาณรถที่จะมาร่วมกับไทยประมาณ 500 คัน อันนี้รวมบิ๊กไบค์ด้วย ที่มาส่วนใหญ่จาก 5 รัฐทางเหนือของประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ความร่วมมือกับทางการไทยและเสริมสร้างสันติสุขให้แก่พื้นที่ 3 จว.ชายแดนภาคใต้ด้วย ซึ่งทางมาเลเซียจะให้ความร่วมมือในรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางการท่องเที่ยว หรือกีฬา อนึ่ง เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของคนทั้ง 2 ประเทศที่เป็นชาติพันธุ์มลายูในพื้นที่อีกด้วย
ในบรรยากาศท่ามกลางไฟใต้คงไม่บ่อยนักที่จะเห็นร้อยยิ้ม และเสียงหัวเราะของชาวบ้านในพื้นที่ไกลปืนเที่ยงจะได้ชมการแข่งขันออฟโรดที่มีนักแข่งจากมาเลเซียเข้าร่วมท่ามกลางเสียงระเบิดและเสียงปืนที่ทำลายขวัญ และกำลังใจของชาวบ้านในพื้นที่อำเภศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “กัวลากาเว” 115 กิโลเมตรจากชายแดนรันเตาปังญัน รัฐกลันตัน มาเลเซีย ศรีสาคร เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีแม่น้ำสายบุรีเป็นสายน้ำหลักที่เปรียบเสมือนสายโลหิตของคน 3 จังหวัด ในน้ำยังคงมีปลานานาชนิด และเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่สามารถนำรายได้สู่พื้นที่ได้เป็นกอบเป็นกำหากปราศจากเสียงปืนเสียงระเบิด และการก่อเหตุความรุนแรง
กิจกรรมศรีสาครออฟโรดครั้งที่ 3 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 พฤษภาคม 2557 โดยจัดร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลศรีสาคร การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนราธิวาส ชมรมออฟโรด จากกลันตัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่แก่ชาวมาเลเซีย เราจะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมในครั้งนี้มากมาย โดยเฉพาะด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดนราธิวาส ซึ่งจังหวัดนราธิวาสเองได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบแต่หลังจากที่มีกิจกรรมนี้การที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในพื้นที่พวกเขาจะใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่พัก จากการประเมินในช่วงเวลา 3 วัน จะมีเงินสะพัดประมาณ 4 ล้านบาท และการให้ความร่วมมือทั้งบิ๊กไบค์ และออฟโรด ทั้งไทยมาเลเซีย เข้าร่วมจำนวนเกือบ 1,000 คัน
“ด้านการรักษาความปลอดภัย ทางจังหวัดนราธิวาสได้มีการประชุมและทำงานร่วมกัน 3 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ในการดูแลความปลอดภัยให้แก่คณะอย่างเต็มที่” ผอ.การท่องเทียวและกีฬา กล่าว ส่วนความสำเร็จมากกว่านั้น คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ด่านชายแดนอย่างแนบแน่นดีขึ้นด้วย
ด้าน นายอัซฮารี ฮารูน หัวหน้าจัดการแข่งขันออฟโรดในครั้งนี้ กล่าวว่า “มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้กว่า 800 คน และรถกว่า 200 คัน สถานที่ที่ศรีสาคร เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจ เพราะมีทั้งแม่น้ำ ภูเขา และประชาชนที่มีมิตรไมตรีที่ดี และความเป็นกันเอง ผมรู้สึกภูมิใจมากในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้”
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าเขาจะเชิญชวนนักแข่ง และคณะจากประเทศสิงคโปร์ และอื่นๆ ที่สนใจกีฬาประเภทนี้ เพื่อแนะนำ และยกระดับสนามตรงนี้ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติต่อไป ฮัจยีซุลกีฟลี บิน สาและ ที่ปรึกษาชมรม 4x4 จากกลันตัน กล่าวว่า คณะที่เข้าร่วมในครั้งนี้เป็นเอ็นจีโอ รถขับเครื่องสี่ล้อ กลันตัน จัดกิจกรรมในครั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
“ถึงแม้ว่าสถานการณ์อะไรจะเกิดขึ้น เป้าหมายของเราคือ เพื่อสันติภาพ ความสงบสุข ดังนั้น ด้วยเจตนาดังกล่าวประชาชนคนไทยและมาเลเซียเรามาครั้งนี้เพื่อเชื่อมมิตรภาพระหว่างชาวมาเลเซียกับคนไทย และอันนี้ก็เป็นเจตนาของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ รัฐบาลไทยต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลมาเลเซีย ในการช่วยเหลื่อเพื่อสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่ภาคใต้ของไทย ดังนั้น กิจกรรมในครั้งนี้สามารถกระชับสัมพันธ์และมิตรภาพอันดี และสร้างจุดสนใจในด้านการท่องเทียวของทั้งสองประเทศ” ซุลกิฟลี กล่าว
สำหรับผู้เข้าร่วมจากกลันตันท่านนี้ นายอาลี อาฟันดี อารีฟิน กล่าวว่า “รู้สึกดีใจที่ได้เข้าร่วม Srisakorn of Road Callenge ครั้งที่ 3 นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้เข้าร่วมขบวนออฟโรดในภาคใต้ของไทย รู้สึกเป็นเกียรติต่อการต้อนรับจากฝ่ายผู้จัด และในครั้งนี้ฝ่ายจัดงานได้ดูแลความปลอดภัยเต็มที่ให้แก่คณะ”
สำหรับ ซัสลีน อายน์ บินติ อัซนี กล่าวว่า “การที่ตัดสินใจเข้าร่วมในครั้งนี้ เนื่องจากพี่ชายเข้าร่วมด้วย และที่สำคัญต้องการศึกษาชีวิตของคนในพื้นที่ งานในครั้งนี้มีผู้เข้าชมกว่าพันคนต่อวัน สร้างความสุข ร้อยยิ้ม และหากสามารถจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เข้าร่วมจากประเทศเพื่อนบ้านได้ทำร่วมกันกับชาวบ้านในพื้นที่จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี และมิตรภาพดังที่ฝ่ายจัดจากมาเลเซียให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า นี่คือกิจกรรมแห่งเชื่อมสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนมาเลเซียและประชาชนชาวไทย และนี่ถือว่าความกล้าหาญ และท้าท้ายของผู้จัดกิจกรรมในครั้งนี้ หลังสิ้นเสียงระเบิดที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และเสียงระเบิดในพื้นที่อำเภอสุไหงโก-โลก สุไหงปาดี ตากใบ และเส้นทางรถไฟในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ที่สำคัญผู้บริหาร และผู้จัดจะทำอย่างไรในอนาคตเพื่อให้ศรีสาครเป็นสนามแข่งรถออฟโรดจะเป็นทางเลือกหนึ่งในระดับนานาชาติต่อไป