โดย...ณขจร จันทวงศ์
และแล้วบรรยากาศการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนของนครหาดใหญ่ ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสำคัญของหัวเมืองภาคใต้ มีอันต้องชะงักงัน และอาจถึงขั้นช็อก! ไปตามๆ กันอีกครั้ง
หลังสิ้นเสียงระเบิดคาร์บอมบ์ และมอเตอร์ไซค์บอมบ์ ที่เกิดขึ้นตามเวลาไล่เลี่ยกัน ในช่วงบ่ายวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา
มอเตอร์ไซค์บอมบ์คันเกิดเหตุถูกผู้ก่อการร้ายนำไปจอดไว้บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ หรือเซเว่น-อีเลฟเว่น สาขาถนนพลพิชัย ฝั่งตรงข้ามวิทยาลัยช่างกลภาคใต้เทคโนโลยี ทางด้านทิศห่างจากที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ ศูนย์กลางการบริหารปกครอง และความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประมาณ 500 เมตร เท่านั้น! แรงระเบิดทำให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บทันที จำนวน 8 ราย ทรัพย์สินเสียหายอีกจำนวนมาก
ตามมาด้วยเหตุระเบิดที่สร้างความตกตะลึงให้แก่ชาวบ้านก็คือ เสียงกัมปนาทของคาร์บอมบ์บริเวณลานจอดรถภายในสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ อานุภาพของระเบิดแสวงเครื่องลูกนี้แม้จะมีความรุนแรง แต่เดชะบุญมีตำรวจได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิด 2 นาย ขณะที่รถยนต์ของนายตำรวจยศพันตำรวจตรี รวมทั้งรถยนต์ของผู้มาติดต่อราชการ และรถยนต์ของกลางที่ตำรวจอายัดไว้ตรวจสอบระหว่างการดำเนินคดี ได้รับความเสียหายไปนับสิบคัน
ยังไม่รวมความเสียหายตัวอาคารบ้านเรือนของประชาชน และแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ได้รับความเสียหายจากแรงอัดของระเบิดทำให้กระจกประตู-หน้าต่างแตกกระจุยกระจาย ขณะที่เศษสะเก็ดระเบิด และชิ้นส่วนของรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้า วีโก้ คันที่คนร้ายใช้เป็นคาร์บอมบ์ กระเด็นกระดอนไปไกลในรัศมีกว่า 100 เมตร เกิดไฟลุกไหม้นานร่วมชั่วโมงกว่าจะควบคุมเพลิงไว้ได้
“สถานีตำรวจ สถานที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุด ได้กลายเป็นสถานที่ซึ่งอันตรายที่สุดไปในทันที”
แต่แทนที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากชาวบ้าน หลังเกิดเหตุ สภ.หาดใหญ่ กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนรวมทั้งสื่อมวลชน
ฐานปล่อยปละละเลย เปรียบดั่งปล่อยดั้งจมูกต้องถูกคนร้ายใช้ส้นเท้าลูบเอาได้ง่ายๆ ในกลางวันแสกๆ
แม้การก่อวินาศกรรมในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ทางเศรษฐกิจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่การลอบวางระเบิดใน สภ.หาดใหญ่ ในครั้งนี้แม้จะมีความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สินเทียบไม่ได้กับการก่อเหตุร้ายครั้งที่ผ่านมาๆ มา แต่ก็เพียงพอแล้วต่อการทำลายความเชื่อมั่นจากประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยว และนักลงทุนที่ให้แก่หน่วยงานซึ่งรับผิดชอบด้านการดูแลรักษาความปลอดภัยนครหาดใหญ่แห่งนี้
“ที่ตั้งของตัวเองยังดูแลไม่ได้ อย่างนี้จะไปดูแลใคร”
เสียงสะท้อนจากพ่อค้าชาวหาดใหญ่คนหนึ่ง บอกว่าการเฝ้าระวังเหตุร้ายจากนี้ไปพวกเขาคงต้องใช้วิธีพึ่งพาตัวเอง ดูแล้วน่าจะปลอดภัยกว่า
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการพึ่งพาตัวเองของภาคประชาชนในนครหาดใหญ่นั้นไม่ได้เป็นเพียงคำพูดประชด หรือเอ่ยขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย หากแต่ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นับแต่เกิดเหตุการณ์ร้ายจากปรากฏการณ์ปัญหาไฟใต้ระลอกใหม่ พื้นที่เศรษฐกิจอย่างนครหาดใหญ่ ได้เผชิญหน้าต่อการก่อวินาศกรรมมาแล้วหลายครั้ง เช่น เหตุลอบวางระเบิดสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ และห้างร้านย่านธุรกิจ เกิดขึ้นในปี 2548 เหตุระเบิดคาร์บอมบ์โรงแรมลีการ์เดนท์พลาซ่า เมื่อปี 2555 และล่าสุด ที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ คือ เหตุมอเตอร์ไซค์บอมบ์ 4 จุด ในอำเภอสะเดา เมืองเศรษฐกิจชายแดนที่ดึงเม็ดเงินจากการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเข้าประเทศปีละมหาศาลไม่แพ้นครหาดใหญ่
การก่อเหตุร้ายในเมืองเศรษฐกิจชายแดนทั้ง อ.หาดใหญ่ และ อ.สะเดา แสดงให้เห็นถึงความพยายามของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่มุงหมายจะทำลายฐานเศรษฐกิจอันถือเป็นจุดแข็งที่มีอยู่ในอำเภอหาดใหญ่ และอำเภอสะเดา เช่นเดียวกับการโจมตีสถานประกอบการของกลุ่มธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีนในตัวเมืองยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ที่เกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บางแห่งตกเป็นเป้าก่อเหตุมาแล้วถึงกว่า 40 ครั้ง
นั่นเป็นแผนการของกลุ่มก่อการร้ายที่มุ่งทำลายจุดแข็ง บีบภาคใต้ให้อยู่ในกำมือเพื่อให้ง่ายต่อการเจรจาต่อรองใดๆ กับรัฐไทย
ข้อมูลสถิติจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา และสำนักนโยบายการออมและการลงทุน พบว่า ปัจจุบัน สงขลา เป็นจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ วัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) โดยมีมูลค่ารวมปี2556 เท่ากับ 208.81 พันล้าน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.78 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศ (GDP) ขณะเดียวกัน ยังเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาท่องเที่ยวได้ปีละนับล้านคน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวปีละนับหมื่นล้านบาท โดยข้อมูลสถิติจากกรมการท่องเที่ยว พบว่า ไตรมาส 4/2556 จังหวัดสงขลา มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวรวม 901.27 พันคน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว คิดเป็นมูลค่ามากถึง7.47 พันล้าน
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะปลุกปั้นพัฒนาการค้าการลงทุนจนประสบความสำเร็จ และเป็นจุดแข็งนำพาสังคมภาคใต้มาได้จนถึงวันนี้ กลุ่มธุรกิจในภาคใต้ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานในการประคับประคองให้สถานประกอบการอยู่รอดได้ ทั้งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการกระทำของขบวนการก่อการร้ายที่ไม่ได้เป็นปัญหาใหม่ แต่มีอยู่คู่ภาคใต้มานานนับ 100 ปี กลุ่มธุรกิจจึงสู้ทุกวิถีทางเช่นกันเพื่อรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้
“เราจะรอให้หน่วยงานความมั่นคงมาดูแลให้ความปลอดภัยให้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ การป้องกันอันตรายจากการก่อการร้ายทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่น สำหรับกลุ่มนักธุรกิจและภาคประชาชนที่ทำมาหากินอยู่ในย่านธุรกิจกลางเมืองหาดใหญ่ ได้มีความตื่นตัวและร่วมมือกันมากขึ้น เริ่มจากสถานประกอบการของตัวเอง บ้านของตัวเอง ก่อนขยายไปสู่การร่วมกันดูแลพื้นที่สาธารณะ”
สมชาติ พิมพ์ธนะพูนพร นายกสมาคมโรงแรมจังหวัดสงขลา กล่าวและว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเมืองหาดใหญ่อย่างหนักหน่วง เนื่องจากนักลงทุน และนักท่องเที่ยวไม่เชื่อมั่นในการรักษาความปลอดภัย และไม่กล้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจับจ่ายซื้อหาสินค้า รวมทั้งไม่อยากจะเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะต่อนักธุรกิจ หรือผู้ประกอบการ แต่มันจะกระทบไปถึงประชาชนที่ดำรงชีวิตอยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจเมืองหาดใหญ่ได้ทุกๆ คน
“เราจึงเริ่มดูแลตัวเองด้วยการกำชับกับพนักงานทุกแผนกให้ช่วยกันเฝ้าระวัง คอยสังเกตสิ่งผิดปกติต่างๆ ให้ถือว่านี่เป็นกิจธุระของทุกคนที่ไม่ควรจะปล่อยปละละเลย นับตั้งแต่เหตุระเบิดที่ลีการ์เดนส์ ก็มีโรงแรมหลายแห่งในหาดใหญ่ใช้วิธีสร้างจิตสำนึก ให้ความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรซึ่งมีพัฒนาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ในโรงแรมบางแห่งแม้แต่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียที่มาใช้บริการเขาเองก็ยังช่วยกันสอดส่องดูแล พบอะไรที่ผิดสังเกตเขาก็จะมาแจ้งให้เราทราบทันที นี่ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ดี เพราะเขาถือว่าหากโรงแรมของเราอยู่ในอันตราย เขาก็ตกอยู่ในอันตรายเหมือนกันเพราะเขามาพักอยู่ที่นี่” นายกสมาคมโรงแรมจังหวัดสงขลากล่าว
เหตุร้ายล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ อาจสร้างความประหลาดใจให้ผู้ติดตามข่าวในหลายแง่มุม ประเด็นหนึ่งคือ การก่อเหตุครั้งนี้ย่านธุรกิจกลางเมืองหาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายมาอย่างต่อเนื่องกลับรอดพ้นจากการถูกโจมตี หรือนี่คือความสำเร็จของเครือข่ายภาคประชาชนที่เลือกจะพึ่งพาตัวเองมากกว่ารอคอยการดูแลจากภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว หากเป็นเช่นนี้จริง สิ่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งในจุดแข็งของนครหาดใหญ่อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน เหตุคาร์บอมบ์ และมอเตอร์ไซค์บอมบ์ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา เหตุร้ายในครั้งนี้ได้เผยให้เห็นจุดอ่อนที่มีอยู่ในนครหาดใหญ่ เป็นจุดอ่อนที่ดำรงอยู่ในหน่วยงานราชการ และยังสะท้อนไปถึงรัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยสร้างความปกติสุขให้แก่เมืองหาดใหญ่ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการคิดทบทวนว่าชาวหาดใหญ่จะทำอย่างไรกับจุดอ่อนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้หาดใหญ่ต้องตกอยู่ในกำมือของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีระเบิดแสวงเครื่อง และอาวุธสงครามคุกคามสันติสุขของชาวหาดใหญ่ ชาวใต้ และชาวไทยอยู่ในเวลานี้