ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ติดตามคดีลูกเรือประมงไทยฆ่าทหารอินโดนีเซีย 2 นาย และโยนศพทิ้งทะเลในน่านน้ำอินโดนีเซีย เผยทราบตัวทั้งหมดแล้วรอรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิด พร้อมเร่งประสานทางการอินโดนีเซียเปิดน่านน้ำให้เรือประมงไทยเข้าไปทำประมงหลังประกาศปิดน่านน้ำไม่มีกำหนด
วันนี้ (24 มี.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ สงขลา พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าคดีกรณีลูกเรือ ณ แก้วสมุทรธรรม 5 หรือชื่อเรียกขาน ส.นาฎยา 7 ซึ่งเป็นเรืออวนลาก ทำร้ายทหารเรืออินโดนีเซียเสียชีวิต 2 นาย และโยนศพทิ้งทะเล
ขณะทำการประมงอยู่ในน่านน้ำอินโดนีเซีย และหลบหนีเข้าไทย และทางการอินโดนีเซีย ได้ประสานมายังรัฐบาลไทยให้ช่วยสืบสวนติดตามคดี และประกาศห้ามไม่ให้เรือประมงไทยเข้าไปทำการประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียไม่มีกำหนด
โดยทาง พล.ต.ท.จักรทิพย์ ได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.สงขลา ทั้งฝ่ายตำรวจ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เจ้าท่าภูมิภาค สมาคมประมง จ.สงขลา และเจ้าของเรือ ส.นาฎยา 7 โดยมีกงสุลใหญ่อินโดนีเซีย ประจำ จ.สงขลา เข้าร่วมติดตามความคืบหน้าของคดีด้วย
หลังการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง พล.ต.ท.จักรทิพย์ เปิดเผยว่า ในส่วนของคดีได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 ดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน และเร่งติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ซึ่งขณะมีผู้ที่อยู่ในข่ายร่วมกระทำผิดมากกว่า 10 คน โดยทางอินโดนีเซีย พร้อมที่จะสนับสนุนข้อมูลต่างๆ และมอบหมายให้ไทยเป็นฝ่ายดำเนินคดีเอาผิดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ส่วนเรื่องผลกระทบกรณีที่อินโดนีเซียห้ามเรือประมงไทยเข้าไปทำการประมงไม่มีกำหนดนั้น ได้หารือกงสุลใหญ่อินโดนีเซีย ประจำ จ.สงขลา เพื่อให้ช่วยประสานกับสถานทูตอินโดนีเซียเพื่อเร่งหาทางออกอีกในเรื่องนี้ เนื่องจากขณะนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่เรือประมงไทยวันละกว่า 30 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าการสอบสวนคดีนี้ หลังจากที่ทางกองบังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา ได้ตั้งทีมสืบสวน ขณะนี้สามารถทราบกลุ่มผู้กระทำผิดทั้งหมดแล้ว โดยมีลูกเรือประมงไทยที่อยู่ในข่ายร่วมกันกระทำผิดรวม 12 คน ในจำนวนนี้ได้กันไว้เป็นพยาน 2 คน แต่เจ้าหน้าที่ขอไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของการรวมรวมพยานหลักฐาน เพื่อเสนออัยการสูงสุดพิจารณามอบหมายให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทำสำนวนการสอบสวนต่อไป เนื่องจากกรณีนี้เป็นเรื่องของการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักรไทย แต่ผลการกระทำผิดดังกล่าวได้ทำบนเรือไทย
มีรายงานจากชุดสืบสวนว่า จากการสอบสวนลูกเรือที่เป็นพยานทั้ง 2 คนยอมรับสารภาพ และให้การว่า เมื่อเวลา 21.00 น.คืนวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา ขณะที่เรือ ส.นาฎยา 7 ทำการประมงอยู่ในน่านน้ำอินโดนีเซีย มีเรือทหารอินโดนีเซีย พร้อมเจ้าหน้าที่ 3 นาย เข้ายึดเรือและควบคุมไปยังเกาะตะแลมป้า โดยมีทหารเรืออินโดนีเซีย 2 คนอยู่บนเรือประมงไทย แต่ระหว่างทางทหารทั้ง 2 นายเผลอหลับ ได้ถูกลูกเรือประมงไทยรุมทำร้าย
โดยใช้ค้อนตี และมีดแทงก่อนที่จะโยนศพทิ้งทะเล จากนั้นไต้ก๋งได้เร่งเครื่องหนีจนเรือทหารอินโดนีเซียตามไม่ทัน และนำเรือมาเทียบท่าที่ จ.ปัตตานี แยกย้ายกันขึ้นฝั่ง และขับต่อมายัง จ.สงขลา โดยจอดอยู่ที่หลังเกาะหนู รวมทั้งได้มีการทาสีเรือใหม่เพื่อพรางเรือ ซึ่งหลังเกิดเหตุยังได้ยึดอาวุธปืนของทหารเรืออินโดนีเซียมาด้วย 1 กระบอก
ทั้งนี้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 ได้เข้าตรวจสอบหาหลักฐานบนเรือประมงลำนี้พบว่ามีร่องรอยของการกระทำผิดขึ้นจริง โดยขณะนี้เรือ ส.นาฎยา 7 เจ้าหน้าที่ได้อายัดห้ามเคลื่อนย้ายไว้ที่ท่าเทียบเรือของตำรวจน้ำสงขลา เพื่อรอตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง