คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ในที่สุดสถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ระลอกใหม่ หรือนับตั้งแต่เดือน ม.ค.ปี 2547 เป็นต้นมา ก็ถูกนำเข้าสู้โหมดของความเลวร้าย ความรุนแรง และความอำมหิต เหมือนกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2543 อีกครั้งหนึ่ง โดยเกิดจากเงื่อนไขเดียวกันนั่นคือ การเสียชีวิตของ “คนมุสลิม” ในพื้นที่ และประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นการกระทำของ “เจ้าหน้าที่รัฐ”
เช่นเดียวกับการพยายามฆ่าล้างครัวนายเจะมุ มะมัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมีข้อมูลว่า เขาเป็น “แนวร่วม” ของหน่วยรบ “อาร์เคเค” ที่มีส่วนในการก่อการร้ายในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส รวมกว่า 8 คดี ซึ่งถูกกลุ่มคนร้ายจำนวนหนึ่งบุกเข้าหมายฆ่าล้างครัวจนลูกชาย 3 คน ที่อายุตั้ง 11 ขวบถึง 5 ขวบ ต้องเสียชีวิตอย่างทารุณ ส่วนนายเจะมุ และภรรยาได้รับบาดเจ็บ
หลังเกิดเหตุข่าวสารในโชเชียลมีเดีย และโชเชียลเน็ตเวิร์กต่างระบุว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งแน่นอนว่า ในการโฆษณาชวนเชื่อทั้งหมดทั้งปวง เจ้าหน้าที่ในนิยามของการโฆษณาชวนเชื่อคือ “ทหาร” และเป็น “ทหารพราน” ซึ่งในความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ต่างมีทัศนคติที่เป็นลบอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะทำให้ “คนมุสลิม” ทั้งใน และนอกพื้นที่จะคล้อยตาม และเชื่อถือว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
หลังเหตุฆ่าเด็กๆ ในครอบครัวของนายเจะมุ มะมัน สิ่งที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้วคือ การหยิบเงื่อนไขดังกล่าวที่เกิดขึ้นมาสู่การล้างแค้นเพื่อเอาคืนต่อเจ้าหน้าที่รัฐในทันที และการเอาคืนของแนวร่วมในพื้นที่ ได้แก่ การกระทำต่อเป้าหมาย “ผู้บริสุทธิ์” ที่เป็น “คนไทยพุทธ” ในพื้นที่
รายแรกคือ การฆ่าแล้วเผา น.ส.เบญจพร เกื้อตุ้ง ภรรยาของตำรวจ สภ.ราตาปันยัง อ.ยะหริ่ง กลางตลาดสด ท่ามกลางสายตาของคนนับร้อยคู่ ต่อด้วยการฆ่า อสม.หญิง ซึ่งเป็นไทยพุทธรายหนึ่งที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และหญิงมุสลิมรายหนึ่งที่ อ.บันนังสตา ต่อด้วยการฆ่าแล้วเผา น.ส.ศยามล แซ่ลิ่ม ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
การแก้แค้นแบบเอาคืนปฏิบัติการโหดเหี้ยมล่าสุดคือ การกราดยิงชาวไทยพุทธที่บ้านศาลาใหม่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะถึงวันมาฆบูชาเพียงวันเดียว และปฏิบัติการโฉดของแนวร่วมครั้งนี้คือ มีพระภิกษุวัดป่าสวย อ.แม่ลาน มรณภาพ 1 รูป ประชาชนที่รอใส่บาตรพระเสียชีวิตอีก 3 ศพ และบาดเจ็บอีก 6 ราย
สาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนที่เป็นชาวไทยพุทธ 10 ราย หลังการพยายามฆ่าล้างครัวของครอบครัวนายเจะมุ มะมัน ตำรวจไม่ต้องเสียเวลาในการสืบสวนสอบสวนเพื่อปิดคดี เพราะมี “ใบปลิว” ทิ้งไว้มากมายในพื้นที่ 3 จังหวัดว่า เป็นการกระทำของแนวร่วม เพื่อล้างแค้นให้แก่เด็ก 3 ศพ และวัตถุพยานในที่เกิดเหตุคือ “ปลอกกระสุน” คือวัตถุพยานที่บอกว่าปืนเหล่านี้เคยใช้ก่อเหตุยิงทหาร ตำรวจ และผู้คนอื่นๆ มาแล้วทั้งนั้น ซึ่งในทางสืบสวนเชิงลึกพบว่า การก่อเหตุในพื้นที่ จ.ปัตตานี เป็นการลงมือของแนวร่วมกลุ่มเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีการปล่อย “ข่าวลือ” ว่าจะมีการฆ่าผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่รัฐ 100 ศพ เพื่อการแก้แค้นในครั้งนี้
สิ่งที่เป็นข้อสังเกตสำหรับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นคือ ไม่ว่าการฆ่าชาวมุสลิมจะเกิดขึ้นที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นที่ จ.นราธิวาส หรือที่ จ.ยะลา หรือ 4 อำเภอของ จ.สงขลา แต่พื้นที่ที่ปฏิบัติการเอาคืนของขบวนการแบ่งแยกดินแดนจะเกิดขึ้นที่ จ.ปัตตานีเกือบทุกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะ จ.ปัตตานี คือ “สัญลักษณ์” ของการต่อสู้ของขบวนการ และเป็นพื้นที่ซึ่งแนวร่วมมีความเข้มแข็งทั้งใน “ทางการเมือง” และ “การทหาร”
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมีคำถามจากชาวไทยพุทธในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจากจำนวนกว่า 200,000 คน ในช่วงก่อนปี 2547 ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงประมาณ 60,000 คนเศษว่า เจ้าหน้าที่รัฐโดยการนำของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะดำเนินการอย่างไรกับการให้ความคุ้มครองชาวไทยพุทธทุกสาขาอาชีพ ตลอดทั้งพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมามรณภาพแล้วจากฝีมือของแนวร่วม 10 ศพ บาดเจ็บ และพิการอีกจำนวนหนึ่ง
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่พบว่า นับแต่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นระหว่าง รัฐบาลรักษาการ กับมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาลของ กปปส. การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐได้ “หย่อนยาน” ลงมาก โดยมีการใส่ “เกียร์ว่าง” หรือ “เกียร์ถอย” เกิดขึ้นต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ปัตตานี นั้นพบว่า ฝ่ายปกครอง ตำรวจ และหน่วย ฉก.ต่างๆ เดินเครื่องแบบ “ไม่เต็มสูบ” จนเกิด “ช่องว่าง” และ “รูโหว่” ให้ขบวนการสามารถก่อเหตุ และหลังก่อเหตุสามารถหลบหนีได้ทันท่วงที และหากหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่มีการบูรณาการทั้ง 3 หน่วยงานให้เข้มข้น เพื่อปิดช่องว่าง หรือรูโหว่ พื้นที่ จ.ปัตตานี จะต้องเป็นสมรภูมิของการ “ฆ่าผู้บริสุทธิ์” ที่เป็น “ชาวไทยพุทธ” เกิดขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง
วิธีการ “ดับไฟใต้” ที่สำคัญในครั้งนี้คือ ต้อง “ดับไฟแค้น” ที่เกิดขึ้นในใจของผู้คนก่อน นั่นคือการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง เพื่อนำผู้ก่อการฆ่าครอบครัวของนายเจะมุ มะมัน มาลงโทษ และหน่วยงานของรัฐที่ตกเป็นจำเลยไปแล้วในขณะนี้อย่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะต้องมีคำตอบที่มีเหตุมีผลให้กับคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ว่า ไม่ได้เป็น “ผู้กระทำ” อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ
โดยกระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) จะต้องทำความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณะชนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของนายเจะมุ มะมัน เป็นการกระของใคร ของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างที่คนส่วนใหญ่ปักใจเชื่อ หรือเป็นการปฏิบัติการของแนวร่วมที่ใช้ชั้นเชิงที่เหนือชั้นก่อเหตุ เพื่อสร้างเงื่อนไขของสงครามระหว่างผู้นับถือศาสนาที่ต่างกัน ซึ่งเป็นความเพียรพยายามกว่า 10 ปี ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
หรือเป็นการลงมือของกลุ่มคนที่พ่อแม่ หรือญาติพี่น้องถูกแนวร่วมที่เชื่อว่ามีนายเจะมุ มะมัน ร่วมกันกระทำต่อพวกเขา ได้ร่วมกันดำเนินการล้างแค้น ซึ่งมีส่วนที่เป็นไปได้เนื่องจากญาติๆ ของผู้ที่เสียชีวิตหลายรายในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาสเป็น กำลังพลของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อยู่ด้วย
ฆาตกรย่อมทิ้งร่องรอย?!
เช่นเดียวกับกลุ่มคนร้ายที่ปฏิบัติการต่อครอบครัวของนายเจะมุ มะมัน ก็มีการทิ้งร่องรอย มีผู้รู้เห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนผู้ปฏิบัติการ และมีอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่างที่สามารถสาวถึงกลุ่มคนร้าย ถ้าเจ้าหน้าที่ “กล้า” ที่จะทำอย่างตรงไปตรงมา เพื่อทำ “ความจริง” ให้ปรากฏ และเชื่อว่าถ้าความจริงถูกเปิดเผยจะทำให้ “ไฟแค้น” สลายไปได้ เพราะความจริงเท่านั้นที่จะเยียวยาสถานการณ์ให้ดีขึ้น
แต่หากยังมีการพยายาม “ซุก” ความจริงเอาไว้ใต้พรม และนำ “ความไม่จริง” มาตอบโจทย์ที่เกิดขึ้น เชื่อว่าจะเป็นช่องทางที่นำพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่ความรุนแรง และชาวไทยพุทธในพื้นที่จะกลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์ และสถานการณ์อาจจะรุนแรงกลายเป็น “สงคราม” ของผู้นับถือศาสนาที่ต่างกัน เมื่อคนไทยพุทธไม่สามารถพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐ และลุกขึ้นจับอาวุธเพื่อปกป้องตนเอง และเพื่อดับไฟแค้นที่เกิดขึ้นจากการกระทำของแนวร่วม
ดังนั้น สถานการณ์ไฟใต้ในขณะนี้จึงน่าจับตาดูว่า สุดท้ายแล้ว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า อาจต้องยอมรับความจริง หรือยอม “ตัดนิ้ว” บางนิ้วทิ้งไปเพื่อที่จะไม่ให้ “เชื้อร้าย” ลุกลามไปสู่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เพื่อให้สถานการณ์ไฟใต้คลี่คลายไปในทางที่ดีต่อไป