ปัตตนี - กอ.รมน.ภ.4 ส่วนหน้า ชี้แจงกรณีศาลพิพากษาตัดสินประหารชีวิต “ซุลกิฟลี ซิกะ” จำเลยในคดีโจมตีฐานพระองค์ดำ ซึ่งศาลพิพากษาไปแล้ว 12 ราย อยู่ระหว่างหลบหนีอีก 21 ราย พร้อมรณรงค์ให้ผู้หลงผิดเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน
วันนี้ (3 ก.พ.) พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่าจากกรณีศาลจังหวัดนราธิวาส พิพากษาตัดสินลงโทษประหารชีวิต นายซุลกิฟลี ซิกะ จำเลยในคดีลอบโจมตีฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารราบที่ 15121 หรือฐานพระองค์ดำ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 1,900,000 บาท ซึ่งจำเลยรอยื่นอุทธรณ์ โดยก่อนหน้านี้ ศาลได้มีคำพิพากษาตัดสินจำเลยในคดีเดียวกันไปแล้ว จำนวน 12 ราย และอยู่ระหว่างหลบหนีคดีอีก จำนวน 21 รายนั้น จากกรณีดังกล่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจ ดังนี้
1.การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของคดีดังกล่าวจนศาลมีคำพิพากษาตัดสิน เป็นการปฏิบัติโดยยึดถือหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นบทบัญญัติในการรับรองสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ แม้ว่าการยึดถือหลักข้างต้นจะใช้ระยะเวลาตามกระบวนการเป็นเวลานาน แต่เพื่อให้เกิดผลที่จะผดุงความยุติธรรมให้แก่จำเลย ซึ่งยังมีสถานะเป็นผู้ต้องหา หลักการนี้จะยังดำรงอยู่ในทุกขั้นตอนของทุกคดีความมั่นคง
2.ฝ่ายความมั่นคงยังคงยึดมั่นในการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้ขอบเขตตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมายอย่างเต็มความสามารถ
3.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จะยังคงดำรงความมุ่งหมาย ตามมาตรการที่กำหนดไว้ด้วยการมุ่งเน้นปกป้อง และคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนจากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง พร้อมกับจะใช้มาตรการทางกฎหมายในการติดตามคนร้ายที่กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ จะยังคงอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่มีความคิดเห็นต่างจากรัฐ หรือผู้ที่กำลังหลบหนีคดี หากมีความสมัครใจต้องการเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ผู้นำในท้องที่ หรือบุคคลที่เราไว้วางใจเพื่อไปรายงานตัวแสดงตนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กลับมาอยู่กับครอบครัว โดยไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป และอีกหนึ่งช่องทางการติดต่อสามารถแจ้งความจำนงมาได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ, หน่วยเฉพาะกิจประจำพื้นที่ หรือโทรสายด่วน 1341, 1881 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
วันนี้ (3 ก.พ.) พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่าจากกรณีศาลจังหวัดนราธิวาส พิพากษาตัดสินลงโทษประหารชีวิต นายซุลกิฟลี ซิกะ จำเลยในคดีลอบโจมตีฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารราบที่ 15121 หรือฐานพระองค์ดำ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 1,900,000 บาท ซึ่งจำเลยรอยื่นอุทธรณ์ โดยก่อนหน้านี้ ศาลได้มีคำพิพากษาตัดสินจำเลยในคดีเดียวกันไปแล้ว จำนวน 12 ราย และอยู่ระหว่างหลบหนีคดีอีก จำนวน 21 รายนั้น จากกรณีดังกล่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจ ดังนี้
1.การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของคดีดังกล่าวจนศาลมีคำพิพากษาตัดสิน เป็นการปฏิบัติโดยยึดถือหลักนิติรัฐ ซึ่งเป็นบทบัญญัติในการรับรองสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ แม้ว่าการยึดถือหลักข้างต้นจะใช้ระยะเวลาตามกระบวนการเป็นเวลานาน แต่เพื่อให้เกิดผลที่จะผดุงความยุติธรรมให้แก่จำเลย ซึ่งยังมีสถานะเป็นผู้ต้องหา หลักการนี้จะยังดำรงอยู่ในทุกขั้นตอนของทุกคดีความมั่นคง
2.ฝ่ายความมั่นคงยังคงยึดมั่นในการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้ขอบเขตตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมายอย่างเต็มความสามารถ
3.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า จะยังคงดำรงความมุ่งหมาย ตามมาตรการที่กำหนดไว้ด้วยการมุ่งเน้นปกป้อง และคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนจากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง พร้อมกับจะใช้มาตรการทางกฎหมายในการติดตามคนร้ายที่กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ จะยังคงอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่มีความคิดเห็นต่างจากรัฐ หรือผู้ที่กำลังหลบหนีคดี หากมีความสมัครใจต้องการเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ผู้นำในท้องที่ หรือบุคคลที่เราไว้วางใจเพื่อไปรายงานตัวแสดงตนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กลับมาอยู่กับครอบครัว โดยไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป และอีกหนึ่งช่องทางการติดต่อสามารถแจ้งความจำนงมาได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ, หน่วยเฉพาะกิจประจำพื้นที่ หรือโทรสายด่วน 1341, 1881 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
