xs
xsm
sm
md
lg

“ส่วย”ป่าตองระเบิด ทำป่าช้าแตก / ประเสริฐ เฟื่องฟู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยื่นหนังสือแฉส่วย
 
คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ  เฟื่องฟู
 
ปัญหาคอรัปชั่น รับสินบาทคาดสินบนของข้าราชการมีมานานแสนนาน ไม่รู้ว่าเกิดยุคไหน สมัยใด ใครเป็นต้นแบบ มีหลากหลายวิธี “ผู้รับ-ผู้เรียก” ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อมาลามปามเข้าองค์กรเอกชนบางหน่วยงานที่มีอิทธิพลต่อสังคม เช่น “สื่อมวลชน” ที่กลุ่มผู้มีอิทธิพล นักการเมือง และผู้ประกอบการ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเอง ต้องใช้เป็นเครื่องมือจ่ายให้ ทั้งชนิดใส่ซอง และเป็นของชำร่วย
 
“สื่อ” บางคน รับหมดทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง และเจ้าพ่อ มาเฟีย กินไม่เลือก!
 
ในอดีต “สื่อมวลชน” นักข่าว คนหนังสือพิมพ์ต่างมีอุดมการณ์ ได้รับการยกย่องเป็นฐานันดรสี่ ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร หยิ่งในศักดิ์ศรี ยอมหักไม่ยอมงอ มีแค่ปากกา ดินสอเป็นอาวุธ อด.... หิวโซ ก็ไม่ขอใครกิน ถ้าทรยศต่ออุดมการณ์ ก็ต้องทิ้งวงการไป
 
แต่ปัจจุบัน โลกเปลี่ยนไป ทั้งจิต วิญญาณมนุษย์ นักข่าวรุ่นใหม่ ที่เรียกตัวเองว่า “สื่อ” พูดใส่เต็มสองรูหู  “อุดมการณ์กินไม่ได้” อนิจจา.....
 
ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ จะโดยการเรียกร้อง หรือให้ด้วยความสมัครใจก็ตาม วัตถุประสงค์เพื่อต้องการ บริการชนิดพิเศษ หรือเพื่อความสะดวกในการติดต่อราชการ ชนิดที่ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งคอยครึ่งค่อนวัน และจากยากเป็นง่าย รวดเร็ว ชนิดม้วนเดียวจบ ในชั่วพริบตา ที่เรียกว่า
 
“วันสต็อปเซอร์วิส”
 
อีกประเภทหนึ่ง เป็นสินบน ที่จ่ายให้ผู้รักษากฎหมาย เป็นบรรณาการ จะเป็นรายเดือน หรือครั้งคราว เพื่อให้การประกอบธุรกิจมืด หรือที่ผิดกฎกติกาบ้านเมือง ได้รับความสะดวก พูดง่ายๆ ช่วยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ในปัจจุบันเรียกว่า
 
“ส่วย”
 
ออกมาโต้ไม่มีส่วย
 
ขอชักแม่น้ำทั้งห้าแจงความหมายของคำว่า “ส่วย” สักนิด จากการเปิดพจนานุกรมดู ในอดีตนั้นหมายถึง
 
“ของ ทรัพย์สิน หรือจะเป็นอะไรก็ตาม ที่เรียกเก็บจากหัวเมือง เป็นบรรณาการให้เมืองหลวง” อีกความหมายคือ “ค่าภาคหลวง ตามวิธีการเรียกเก็บภาษีอากรในสมัยโบราณ” ความหมายที่สามคือ “เงินช่วยราชการตามที่กำหนด เรียกเก็บภาษีจากราษฎรชายที่ไม่ได้เป็นทหารเป็นรายบุคคล” และหรือ “ภาษีอากร ที่ต้องจ่ายให้รัฐตามที่กฎหมายกำหนด” ยังมีอีกความหมายหนึ่ง ที่ฟังดูน่ารักดีคือ 
 
“สิ่งที่ให้ด้วยความเคารพนับถือ หรือให้ด้วยไมตรี เพื่อสนับสนุนกิจกรรม”
 
แต่ “ส่วย” ในรูปแบบดังกล่าว เลิกไปนานแล้ว ยกเว้นภาษีอากรจากผู้มีรายได้เท่านั้น ที่ยังต้องจ่ายให้รัฐตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อเป็นเงินเดือนค่าจ้างเจ้าหน้าที่รัฐ และพัฒนาบ้านเมือง
 
ปัจจุบัน “ส่วย” ที่เรียกกัน หมายถึง ค่ารีดไถ เงินหรือทรัพย์สินที่จำใจให้ เพราะถูกเรียกเก็บโดยข่มขู่ บังคับ อาจจะเข้าลักษณะเป็นค่าคุ้มครอง หรือสมัครใจให้เพราะต้องการความสะดวก อะไรเทือกนั้น
 
ถ้าเป็นอย่างนี้ ต้องเป็น “ส่วย” ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำนองคลองธรรม
 
การเก็บ หรือจ่าย “ส่วย” มีอยู่ทุกจังหวัด ทุกมุมเมือง ที่เจริญแล้วอย่างกรุงเทพฯ หรือแม้แต่บ้านป่าเมืองเถื่อน ห่างไกลปืนเที่ยง ในพื้นที่ที่มีการประกอบธุรกิจมืด หรือธุรกิจที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง อย่างเช่น
 
ยาเสพติด บ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี หวยเถื่อน หรือเบิกทางนำของผิดกฎหมายผ่าน สถานบันเทิงบางประเภทตามแหล่งท่องเที่ยว ที่ต้องเปิดให้บริการเกินเวลาที่กำหนด
 
ทั้งจ่ายเป็นครั้งคราวเพื่อเป็นใบเบิกทาง จ่ายกันเป็นรายเดือน มีคนมาเก็บถึงที่ ไม่มีใบเสร็จ ไม่มีการเซ็นรับ
 
ผู้ประกอบการเหล่านี้ ต้องเป็นผู้มีอิทธิพล ในทางนักเลง และการเงิน มากด้วยบารมี ส่วนใหญ่จะเป็นนักการเมือง ผู้นำท้องถิ่น หรือใกล้ชิดสนิทกัน ทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ เกี่ยวข้อง เกี่ยวดองเป็นเพื่อนเป็นญาติ หรือเป็นหุ้นส่วน บุคคลผู้มีอิทธิพลดังกล่าว เมืองไทยให้ฉายาว่า “เจ้าพ่อ” ถ้าเป็นหญิงก็ “เจ้าแม่” ปัจจุบันยืมภาษาฝรั่งเขามาใช้ ให้เท่ขึ้น
 
“มาเฟีย
 
หลายพื้นที่ ได้แสดงออก และรณรงค์ให้มีการต่อต้านการคอรัปชั่น ทุจริตต่อหน้าที่ เสียเงินเสียงบประมาณ ขึ้นคัทเอ้าท์ใหญ่โตมโหฬาร ด้านภาคเอกชน หอการค้า ทนายความต่างออกมาร้องรับประสานเสียง
 
สถานบันเทิงซอยบางลา ป่าตอง
 
แต่.... เจ้าหน้าที่รัฐล้วนปากว่า ตาขยิบ ภาคเอกชนอยากได้ความสะดวก ไม่อยากเสียเวลาที่เป็นเงินเป็นทอง ก็พยักหน้ารับ เป็นแบบนี้ แล้วรณรงค์กันไปทำไม?
 
ออกนอกเรื่องไปไกลโข โฟกัสกลับมาที่ป่าตอง อ.กะทู้ จังหวัดภูเก็ต ต้นเหตุของการเปิดโปง “ส่วยสถานบันเทิง” และสารพัดส่วย จนป่าช้าแตก ผีป่าตองพล่านทั้งเมือง
 
เด็กอมมือยังรู้ว่า พื้นที่ป่าตอง และแหล่งท่องเที่ยวภายในจังหวัดภูเก็ต  ทั้งในป่า ในเมือง แม้แต่สลัม
 
เป็นแหล่งหาเงินของของข้าราชการ ฝ่ายปกครอง และฝ่ายปราบปราม ทั้งหาส่งนาย หากินเอง บางรายกินไม่รู้จักอิ่ม กินจนลืมตัว เจอ“ตอ” เด้งชนิดฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ถ้าไม่ใช่เด็กนาย ไร้เส้น ก็กระเด็นไกลไปสุดกู่ แต่ถ้ามีเส้น มีฝีมือในการหาเงิน ก็มีโอกาสได้ลงที่ไม่ “เส็งเคร็ง” นัก ยังพอมีที่ให้หากิน และใช้หนี้บุญคุณ
 
เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา “วีรวิชญ์ เครือสมบัติ” ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงป่าตอง “ชาติ จินดาพล” ที่ปรึกษาผู้แทนการค้าไทย เกิดอาการ อั้นไม่อยู่ พรุแตก เพราะถูก “ส่วย” ดูด หูรูดไม่ทำงาน จากกรณีที่สถานบันเทิงต้องเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อสนอง และรองรับนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับอีกหลายพื้นที่ ทั้งกะตะ กะรนก็คงลักษณะเดียวกัน
 
บุคคลทั้งสองต้องนับว่ากล้าหาญชาญชัย ตำแหน่งประธานชมรมฯ น่าจะได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ ได้ยื่นหนังสือ ขอให้ทางราชการพิจารณาขยายเวลาปิดสถานบันเทิงหาดป่าตองอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า หรือทุกครั้งที่เรียกร้อง ทั้งจากรัฐบาลกลาง และท้องถิ่น
 
รู้ทั้งรู้ว่า ภาครัฐไม่มีวันยอม ปล่อยชิ้นปลามันให้หลุดมือ
 
สถานบันเทิงซอยบางลา ป่าตอง
 
โดยความเป็นจริง ถ้าคิดจะถ่ายกระเป๋าโกยเงินนักท่องเที่ยว ก็ไม่น่าจะหวงเวลาหลังเที่ยงคืนของวันใหม่นั้น นักท่องเที่ยวบางประเภทที่ชอบอบายมุข มั่วโลกีย์ เขาไม่อยากพักผ่อน เขาต้องการมาผลาญเงิน สถานบันเทิง คนกลางคืนก็อยากจะโกยเงิน ไม่อยากหลับ อยากนอน ก็น่าจะปล่อยให้สมอยากทั้งสองฝ่าย
 
ส่วนนักท่องเที่ยวชั้นดีที่ต้องการพักผ่อน ต้องการความสงบก็ให้ไปที่อื่น ไปให้ห่างไกล ในเมืองไทย ในภูเก็ตมีมากมายที่บรรยากาศสงบ สวยงาม น่ารื่นรมย์ ออกประกาศเป็น “โซน” ขึ้นคัทเอาท์ใหญ่ ทำแผ่นพับโบชัวร์ แจ้งเอเย่นต์ทัวร์ ทั่วโลก ระหว่างโรดโชว์ ก็แจ้ง และบอกกล่าวไปด้วย ภูเก็ตมีที่เที่ยวหลากหลายรูปแบบ ถ้าจะเที่ยวหาความสุข ความสงบอย่าเหยียบเข้าไปบริเวณ ซอยบางลา ป่าตอง อธิบายไปให้ละเอียด
 
ถ้ายูเป็นเพลย์บอยชั่นต่ำ ชอบอบายมุข เสพของมึนเมา กิเลส และตันหา มีสารพัดโชว์ให้ยูได้ดู ลูบคลำ ขยี้ขยำได้อย่างเมามัน อีกทั้งยังสกปรก เกลื่อนด้วยแมลงสาป ก็เชิญเข้าไปมั่วให้สมอยาก
 
ส่วนนักท่องเที่ยวที่มีเกรด ประกาศไปเลย บริเวณนี้เป็นโซนอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการความสงบ โดยเฉพาะยามวิกาล!
 
เหตุผลที่หวง ไม่ยินยอมให้สถานบันเทิงเปิดเกินเวลา หรือจำกัดเวลาเปิด - ปิด ก็เพราะพวกข้าราชการจัญไร ต้องการสงวนไว้เป็นแหล่งเงินแหล่งทองให้พวกมันได้เก็บ “ส่วย” นอกกฎหมายไว้กิน และปรนเปรอนาย กลุ่มนักการเมือง เสือ สิงห์ กระทิง แรด รวมทั้งตัวเงินตัวทอง(เหี้ย) ที่สามารถให้คุณให้โทษ ให้มันได้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ไปมีอำนาจเก็บเกี่ยวหาผลประโยชน์ที่มากกว่าหลายเท่า
 
ต่างก็สืบทอดปลูกฝังกันมาเป็นลูกโซ่
 
ยิ่งสังคมปัจจุบันรายได้จากเงินเดือนไม่พอกับค่าครองชีพ เพราะถูกรัฐบาลมอมเมาด้วยระบบทุนนิยม ยัดเยียดหนี้สินในครัวเรือนให้ประชาชนไม่รู้จบ จากระบบขึ้นค่าแรงแบบฟาดหัวหมา ทำให้ค่าครองชีพสูงเป็นทวีคูณ รวมทั้งนโยบายรถคันแรก ที่พวกแมงเม่าหลงใหลแห่จองแห่ซื้อกัน ทั้งๆเรียนยังไม่จบ งานยังไม่มีทำ
 
เอาเงินที่ไหน ก็ขอพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่พ่อแม่ยากจนก็ขายตัว ให้ “เสี่ยเลี้ยง”
 
คัทเอาท์หน้าศาลากลางเพิ่งขึ้นโด่มาให้ พร้อมด้วยรูปนายกรัฐมนตรีสาวหน้าแฉล้มของไทย ต่อต้านการค้ามนุษย์ ก็สงสัยว่า “ไอ้ - อี” หน้าไหนที่มันยัดเยียดให้เกิดการค้ามนุษย์ ขายความสาวของตัวเองมากขึ้นเป็นทวีคูณ
 
สำหรับเงินเดือน รายได้ประจำของข้าราชการนั้นไม่พอยาไส้ บางพื้นที่ทั้งรีด ทั้งไถก็ยังไม่พอ จึงมีพวกแตกแถวหารายได้ ปล้นจี้ เรียกค่าไถ่ ค้ายาเสพติดเสียเอง มีให้เห็นอยู่เสมอทุกชั้นยศ ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ และทีวี เพราะสังคมแวดวงข้าราชการต่างช่วยกันกำหนด ปลูกฝังกันเอง จนยากที่จะถอนรากถอนโคน
 
งานวันเกิด วันตายของญาติโยมเจ้านาย ทั้งงานบวช งานกฐิน ผ้าป่าตามฤดูกาลของคุณหญิงคุณนาย ห้ามมิให้บ่ายเบี่ยงถือเป็นงานหลัก ต้องทำให้เข้าเป้า บางรายยังมีค่าเครื่องบินไปประชุม ไปพักร้อน แถมพ่วงพกลูกเมียไปด้วยอีก ต้องใช้เงินส่วนนี้ หรือแบมือขอทำนองหยิบยืมก็ยังมี
 
ถ้ายอมตามที่สถานบันเทิงเหล่านั้นขอมา รายได้ส่วนนี้จะหายไป ก็มากโข หากเป็นจริงตามที่“วีรวิชญ์ เครือสมบัติ” ประธานชมรมสถานบันเทิงป่าตอง ออกมาแฉ มีจำนวนมากกว่า 9 ล้านบาทต่อเดือน ล้วนคนมีสี มีถึง 17 หน่วยงาน
 
รอดไป ไม่มี “สื่อ” ติดร่างแห?
 
สถานบันเทิงซอยบางลา ป่าตอง
 
ทันทีทันควันนายหัว “ปราบ ปรีชาวุฒิ กี่สิ้น” เจ้าของดิสโก้เธค ขาใหญ่ย่านป่าตอง ร่วมกับ “ตัม อ่อนแก้ว” เจ้าของสถานบันเทิงละโว้ผับ บริเวณซอยตัน STEVE BIKINI” เจ้าของสถานบันเทิง Beach Bar “ราชิน ทองมากกุล” ประธานชมรมโรงแรมหาดป่าตอง ก็ออกมาเต้นเหมือนถูกกระตุกหนวด สวนหมัดโต้กลับชัดถ้อยชัดคำ
 
ไม่มีสถานบันเทิงที่ไหนในป่าตอง โดยเฉพาะในกลุ่มของตน จ่าย “ส่วย” ให้ใคร ผู้ที่ออกมาให้ข่าวกล่าวหา เพราะขัดแย้งเป็นการส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่ง ข้อมูลนี้พูดกันมาเป็น 100 ปีแล้ว 
 
ไปๆ มาๆ นายหัว “ปราบ ปรีชาวุฒิ กี่สิ้น” ดันพาดพิงไปถึง “ตำรวจ” ด้วยการแก้ต่างแทนว่า ตำรวจยุคใหม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น มีความจริงใจ และเข้าใจผู้ประกอบการมากขึ้น มีการอะลุ่มอล่วยในส่วนที่ทำได้ พร้อมชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจมากมาย และมีตำรวจดีๆ มีฝีมือมาอยู่ที่สถานีกะทู้มากขึ้น
 
ตำรวจคงปลื้มบานตะไท 
 
แล้วสุดท้ายนายหัว “ปราบ ปรีชาวุฒิ กี่สิ้น” ผู้ยึดมั่นในสโลแกน “ไม่ฟ้องนาย ไม่แฉเพื่อน” ก็ตบท้ายการแถลงข่าวไร้ “ส่วย” ที่ป่าตองด้วยวาทะ ที่เฉียบ และคมกริบเฉือนหัวใจได้สุดแสบ
 
“เรื่องนี้เหมือนเรื่องผี มีทั้งคนเชื่อว่ามี และไม่มี แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่มี มันเป็นการให้สนับสนุน ซึ่งไม่ผิดกฎหมายใดๆ และไม่มีกฎหมายใดห้ามไม่ให้สนับสนุนภาครัฐ” 
 
แหม... แต่มันเข้าล็อคความหมายสุดท้ายของ “ส่วย” ในอดีตตามพจนานุกรมที่ผมไปค้น ยกมาอ้างอิงเป็นตัวอย่างข้างต้นเนี่ย
 
แต่เอาเถอะลักษณะนี้ จะเป็น “ส่วย” ถูกกฎหมาย หรือผิดกฎหมาย ก็ต้องให้เป็นหน้าที่ภาครัฐ และเอกชน ที่ออกมารณรงค์ต่อต้านการคอรัปชั่น หรือการทุจริตในภูเก็ต ที่ขึ้นคัทเอ้าท์หน้าศาลากลางจังหวัด สำนักงานทนายความแถวหน้าเรือนจำ และหน้าหอการค้าภูเก็ต วินิจฉัย ตีความ
 
ถ้าได้ข้อสรุป ช่วยแถลงข่าวให้ประชาชนระดับรากหญ้าที่ยังโง่ ได้ทราบทั่วถึงกันด้วยครับ.
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น