คอลัมน์ : ฝ่าเกลียวคลื่น
โดย...บรรจง นะแส
เสาร์อาทิตย์คือสวรรค์สำหรับจ้อน และเพื่อนๆ ทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาคือ สนามชีวิตจริงในวันหยุด ฝูงวัวฝูงควายหลายๆ หมู่บ้านไปรวมกันที่นั่น ทิวป่าเสม็ด ต้นสน สุมทุมพุ่มไม้ สายธารเล็กๆ ตื้นบ้าง ลึกบ้าง ล้วนคือสนามเด็กเล่นที่ปรับเปลี่ยนไปตามเส้นทางที่เดินผ่าน วิชายิงนกตกปลา ว่ายน้ำ เรียนรู้ชนิดของพืช และสัตว์ก็ตรงนี้ มีคนหลายรุ่นรวมกันที่นี่
ตาผอม คือชายชราที่แก่ที่สุด ย่ามพระเก่าๆ ที่ตาผอมสะพายไล่ฝูงวัวของแกเต็มไปด้วยอุปกรณ์หลากหลาย นอกจากกระบอกยนหมากของแกแล้ว พวกตำรายา ยาแปลกๆ บ้างมีกลิ่นหอมๆ หวานๆ บ้างก็ขมปี๋ ที่พวกจ้อนมักขอแกชิมบ่อยๆ รวมถึงให้แกเล่าเรื่องราวต่างให้ฟังยามพักผ่อนร่วมกัน ตาผอมจึงเป็นเสมือนหัวหน้ากองคาราวานของคนเลี้ยงวัวทั้งหมดที่นี่
“พื้นที่นี้ญี่ปุ่นมันเตรียมทำสนามบิน” ตาผอมเล่าให้พวกเราฟังถึงที่ดินราบเรียบแปลงใหญ่ที่เป็นที่เลี้ยงวัวควายของหลายๆ หมู่บ้านนี้
“สมัยนั้นเขาจ้างพวกตามาเป็นแรงงานที่นี่ ใช้แรงงานในงานก่อสร้างสนามบินกับพวกทหารญี่ปุ่น จ่ายเงินเป็นมัดๆ” ตาผอมมีความสุขทุกครั้งที่เล่าเรื่องนี้
“พวกญี่ปุ่นนี่ไม่ค่อยฉลาดหรอก มันเอาใบพลูไปผัดทำกับข้าว ข่าวว่าอ้วกกันทั้งแคมป์” ตาผอมเล่าเรื่องนี้ให้พวกจ้อนฟังหลายครั้งหลายหนด้วยแววตาเปี่ยมสุข
“ขนุนแรกๆ มันก็ปอกเอาเนื้อทิ้งแล้วแทะกินเมล็ด กว่าจะกินขนุนเป็นมันลองผิดลองถูกอยู่ตั้งนาน” ตาผอมพูดด้วยความภูมิใจทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่องนี้
กลุ่มเด็กเลี้ยงวัวมีรุ่นใหญ่ที่ออกจากโรงเรียนมาก่อน พวกจ้อนเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด พวกรุ่นนี้มีทั้งหญิงและชาย พวกเขาจะรวมกลุ่มกันเฉพาะ และทำตัวเป็นผู้บงการบังคับบัญชาพวกรุ่นๆ ของจ้อน เวลาฝูงวัวควายเลี้ยวไปในที่แปลงนา หรือวัวควายบางตัว บางกลุ่มเดินออกไปไกลๆ ฝูง พวกพี่ๆ เหล่านี้จะสั่งให้เด็กรุ่นจ้อนคนโน้นคนนั้นวิ่งไปไล่วัวควายให้กลับเข้าฝูง พวกจ้อนต้องยอมรับสายการบังคับบัญชานี้แต่โดยดี เพราะสิ่งที่ได้คืนมาก็คือ กับข้าวอาหารเที่ยงที่แปลกๆ มากไปกว่ากับข้าวในห่อที่แม่เตรียมมาให้
พวกรุ่นนี้เขามีปืนนกสับกันหลายกระบอก การทำประสิวดินปืนที่นำเอาไม้ชนิดหนึ่งมาเผาให้เป็นถ่าน แล้วตำให้ละเอียด ผสมกับดินประสิว และอะไรอีกสองสามอย่าง คือวิชาอีกอย่างที่จ้อนได้เรียนรู้วิธีทำดินปืนจากรุ่นพี่ๆ พวกนี้
จ้อนและเพื่อนๆ มีหน้าที่หากระทะมาตีให้เป็นเศษเล็กๆ เพื่อใช้เป็นกระสุนให้พวกพี่ๆ พอวัวควายถึงแปลงทุ่งหญ้า พวกเขาก็จะแยกย้ายกันไป ไม่นานนักเสียงปืนก็ดังขึ้นตรงสุมทุมพุ่มไม้ที่ไกลออกไป ถ้าวันไหนที่มีเสียงปืนดังมาแต่ไกลหลายๆ นัด นั่นหมายความว่ากับข้าวมื้อเที่ยงสำหรับวันนั้นจะมากมายหลากหลาย ไม่ว่า แลน กระรอก นกแปลกๆ จะแปรเป็นกับข้าวมื้อเที่ยงอันโอชะของวันนั้น
“มึงมาลองจับหางควายข้ามน้ำได้แล้วนะ” เขียวเพื่อนร่วมโรงเรียนเจ้าของฝูงควายบอกกับจ้อน และจะเริ่มสอนบทเรียนบทใหม่ให้จ้อนในวันนี้
“บางช่วงควายมันจะดำน้ำ ควายมันดำน้ำเก่ง มึงจะได้หัดดำน้ำกับควาย” เขียวเกริ่นนำ
“เวลาควายดำน้ำมึงอย่าตกใจ ถ้ามันว่ายดำลึกลงไปจนสุดหาง และมึงต้องจมไปด้วย ก็ให้กลั้นหายใจไว้ ทำใจสบายๆ อย่าตกใจ เพียงแต่จับหางมันไว้ให้แน่น อย่าให้หลุดมือเป็นอันขาด ไม่นานหรอกควายมันก็จะขึ้นมาหายใจ มึงก็ขึ้นมาหายใจพร้อมๆ กับควาย สลับไปมาสองสามครั้งก็ข้ามฝั่งไปได้สบายๆ” เขียวเริ่มบทเรียนที่จ้อนต้องใจระทึกที่จะได้ควายมาเป็นครู
จ้อนสอบผ่านวิชาเกาะหางควายข้ามลำน้ำอย่างตื่นเต้น ควายพาจ้อนว่ายข้ามลำน้ำดำผุดดำว่ายสี่ห้าครั้งก็ถึงฝั่งน้ำตื้น จ้อนปล่อยหางควายยืนยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ ขณะที่เขียวยืนโบกมือให้อยู่ฝั่งตรงข้าม วันต่อๆ ไปจ้อนจะใช้ควายในการข้ามลำน้ำ ซึ่งถือเป็นการยกระดับที่เหนือกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ที่ยังใช้การจับหางวัว ซึ่งวัวจะว่ายน้ำโดยการชูคอ ไม่ดำน้ำเหมือนควาย จ้อนเริ่มรู้สึกว่าการข้ามน้ำด้วยวิธีนั้นมันกระจอกไปทันที
วันนี้ฝนเทลงมาอย่างหนัก ไม่มีเสียงปืนแม้แต่นัดเดียวใกล้ๆ เที่ยงรุ่นพี่ๆ ก็กลับมาตัวเปล่า มื้อเที่ยงของวันนี้ของพวกจ้อนก็จะเป็นไข่เจียว ไข่ต้ม ปลาแห้ง ที่แม่เตรียมมาให้เมื่อเช้า ตาผอมโดนสายฝนที่ติดต่อกันยาวนานตัวสั่นงกๆ เพราะความหนาวเย็น แกมีผ้ายางเก่าๆ เป็นเสื้อกันฝน กระสอบปุ๋ยเสื้อฝนของจ้อนที่แม่เตรียมไว้ให้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดี
เย็นมากแล้ว เวลาการต้อนฝูงวัวควายเดินทางกลับหมู่บ้านก็เริ่มขึ้น จ้อนกับจืดถูกรุ่นพี่สั่งให้ไปต้อนฝูงที่แยกออกไปตรงควนโต้คุ้ม ควนโต้คุ้มเป็นเนินเขาเตี้ยๆ ริมทางเดินระหว่างตัวอำเภอเมืองไปอำเภอจะนะ ถือเป็นการทำหน้าที่ในส่วนที่สบายที่สุด เพราะไม่ต้องข้ามลำน้ำ จ้อนและจืดรู้สึกขอบคุณพี่ๆ ที่มอบหมายงานในยามเย็นของวันนี้ที่ไม่ลำบากนัก สายฝนไม่มีทีท่าจะหยุด เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว มองเห็นฝูงวัวควายเพียงรางๆ
“ปัง ปัง ปังๆๆ” เสียงปืนดังขึ้นใกล้ริมควนโต๊ะคุ้ม จ้อนกับจืดสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็เดินมุ่งหน้าฝ่าสายฝนต่อไป เสียงปืนเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเรา เพราะการล่าสัตว์ไม่ได้มีเฉพาะทีมเด็กเลี้ยงวัวควายจากหมู่บ้านเราเท่านั้น ของหมู่บ้านอื่นๆ ก็มีอีกหลายหมู่บ้าน จืดอ้อมไปต้อนฝูงวัวทางซ้าย จ้อนอ้อมไปทางขวา
จ้อนสะดุดใจสายน้ำที่ไหลรินตามทางเดินที่มีสีแดงเหมือนสีเลือดไหลปนมากับสายน้ำฝนที่จ้อนเดินผ่านลำธารเล็ก ยิ่งเดินมุ่งหน้าไปที่ฝูงวัวสีแดงยิ่งชัดขึ้นๆ และแผ่ขยายเป็นบริเวณกว้างขึ้นเรื่อยๆ จ้อนเริ่มใจไม่ค่อยดี หรือเสียงปืนเมื่อกี้จะมีใครมายิงวัว หรือควายของพวกเราแน่แล้ว ถ้าเจอพวกเขาจะทำอย่างไรดี
“อย่าพูดอะไร อย่าบอกใครว่าเห็นอะไร รีบต้อนวัวไปไวๆ” จ้อนสะดุ้งกับเสียงที่ดังขึ้นเบื้องหน้า คนที่พูดขึ้นนั้นเขาคือ หนึ่งในทีมที่ไปสุมหัวกันที่บ้านคุณตาเมื่อวันก่อนนั่นเอง ตัวจ้อนเย็นชาแทบล้มทั้งยืน ภาพของชายสามคนนอนกองรวมกัน เลือดจากร่างของพวกเขายังไหลไม่หยุด พื้นที่รอบๆ แดงฉานไปด้วยเลือดที่กระจายไปทั่วบริเวณกลางสายฝน จ้อนรีบก้มหน้าจ้ำๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปต้อนฝูงวัวออกจากบริเวณนั้น พ้นบริเวณออกไปจ้อนฝืนหันไปมองอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้จ้อนต้องใจหายอีกครั้งก็เพราะว่า ม้าสีหมอกของป๊ะหมานยืนไกวหางอยู่ใต้ต้นไม้ตรงนั้นด้วย
หลังจัดการเอาวัวเข้าคอก จ้อนขอแม่ไปนอนบ้านคุณตาตามปกติ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ไม่ต้องไปโรงเรียน พลบค่ำแล้วก่อนจะเดินเข้าบ้านคุณตา จ้อนตกใจจนสะดุ้ง เจ้าสีหมอกของป๊ะหมานถูกล่ามอยู่ที่ตำแหน่งของมันที่หน้าบ้านคุณตา ป๊ะหมานมาทำไมป่านนี้ ก็เมื่อเย็นที่ผ่านมาเจ้าสีหมอกของป๊ะหมานยังอยู่ที่ทุ่งเลี้ยงวัว จ้อนเดินขึ้นเรือนของคุณตาก็เห็นป๊ะหมานนั่งคุยกับคุณตาด้วยแววตาเคร่งเครียดทั้งสองคน จนจ้อนไม่กล้าสบตา คุณยายไปคดข้าวราดแกงไล่จ้อนให้รีบๆ กินข้าว และไล่ไปเข้านอน
จ้อนกินข้าวเสร็จเดินไปมุดหัวคลุมโปงในผ้าถุงคุณยายใกล้ที่นอนคุณตาตามปกติ แต่คืนนี้เขาครุ่นคิดตลอดเวลาไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้
“กูบอกกี่หนกี่ครั้งแล้วว่า อายุรุ่นเราน่าจะพอได้แล้ว” เสียงคุณตาที่นอนอยู่ใกล้ๆ จ้อนคุยกับป๊ะหมาน แสดงว่าการพูดคุยกันยังไม่จบลง
“หนนี้เป็นครั้งสุดท้าย” เสียงป๊ะหมานตอบคุณตาแบบจริงจัง
“กูรอวันนี้มาตั้ง 60 ปี มึงต้องเข้าใจกูมั่ง มึงลืมไปแล้วเหรอ ก็เตี่ยมันนี่แหละที่เอาป๊ะกูไปใช้งานในเมือง ตอนหลังก็ให้ไปปล้นเขา พอได้ของมาก็ฮุบเอาไปคนเดียว พวกป๊ะกูบ้างก็ถูกยิงถูกจับ ป๊ะกูต้องหนีไปอยู่ที่นั่น ไปเป็นมุสลิมอย่างที่กูเป็นอยู่ นั่นไม่ใช่ปัญหาคนเราเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ทรยศหักหลังกัน กูสัญญากับมึงว่ากูทำครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และปีนี้กูจะไปทำฮัจญ์ที่เมกะและจะเลิกทุกอย่าง”
“เออกูก็เตรียมวัวไว้ให้มึงแล้วสองตัว กะจะขายให้มึงไปเมกกะนั่นแหละเห็นพูดมานาน ปีนี้คงจะได้เสร็จเรื่องเสียที” เสียงคุณตาดูจะมีน้ำเสียงดุน้อยลง
จ้อนก็หลับไปตอนไหนไม่ทราบได้ ตื่นขึ้นมาระหว่างเดินทางกลับไปบ้าน จ้อนเห็นคนมีการจับกลุ่มพูดคุยกันหลายกลุ่ม จับความได้ว่า เมื่อคืนนี้มีตำรวจผ่านมาทางหมู่บ้านของเรา เขาบอกว่ากำลังออกไปตามผู้ร้ายที่ปล้นฆ่าพ่อค้าเพชรพ่อค้าทอง และลูกน้องไปสามศพเมื่อเย็นวานที่ทุ่งเลี้ยงวัวของหมู่บ้านของเรา