ผลวิจัยทางสมองชี้ “พืชกระท่อม” ช่วยลดอาการลงแดงจากสารเสพติดในหนูทดลอง จากการศึกษาผลของสารสกัดจากใบกระท่อมต่อสมองของ “ผศ.ดร.เอกสิทธิ์ กุมารสิทธิ์” อาจารย์ประจำภาควิชาสรีรวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
กระท่อม (Kratom) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mitragynaspeciosa Korth. อยู่ในวงศ์ Rubiaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 10-15 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว เรียงตัวเป็นคู่ตรง พบมากในป่าธรรมชาติบริเวณภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตอนบนของประเทศมาเลเซีย กระท่อมเป็นพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
เริ่มต้นจากงานวิจัยเรื่องผลของสารสกัดน้ำจากใบกระท่อมต่ออาการถอนเอทานอล (ลงแดง) ในหนูทดลอง ซึ่งได้ตีพิมพ์ผลงานไปแล้วในวารสาร Fitoterpia พบว่า สารสกัดน้ำจากในกระท่อมสามารถลดอาการถอนเอทานอลในหนูทดลอง ที่ถูกชักนำให้ติดเอทานอลได้
หลังจากนั้น จึงได้มีการศึกษาเพิ่มเติม โดยศึกษาผลของสารสกัดอัลคาลอยด์จากใบกระท่อม ต่อการกระตุ้นการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเสพติด โดยเฉพาะบริเวณนิวเคลียส แอคคัมเบนส์ (nucleus accumbens) และสไตรเอตัม (striatum) ซึ่งเป็นบริเวณที่เซลล์ประสาทสื่อสารกันด้วยสารโดปามีน (dopamine) การกระตุ้นสมองบริเวณนี้ มีผลทำให้รู้สึกเป็นสุข เคลิบเคลิ้ม และติดใจ และสุดท้ายนำไปสู่การเสพติดได้
จากการศึกษาโดยวิธีการตรวจวัดโปรตีนที่พิสูจน์ว่า มีการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมองบริเวณที่ต้องการศึกษา พบว่า สารสกัดอัลคาลอยด์จากใบกระท่อมที่ความเข้มข้น 40 และ 80 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่มีผลกระตุ้นการทำงานของสมองทั้งสองบริเวณ ในขณะที่ผลการศึกษาฤทธิ์ของยาซูโดอีฟีดรีน (pseudoephedrine) ที่ใช้เป็นส่วนผสมของยาแก้หวัด คัดจมูก ที่ผ่านมาของผู้วิจัยเองในปี 1998 พบว่า ยาซูโดอีฟีดรีน มีฤทธิ์คล้ายกับสารเสพติด เช่น แอมเฟตามีน โดยมีผลกระตุ้นสมองบริเวณนิวเคลียส แอคคัมเบนส์ และสไตรเอตัม
อย่างไรก็ตาม เพื่อความแน่ใจ ขั้นตอนที่จะต้องศึกษาต่อไปคือ การตรวจวัดผลของสารสกัดจากใบกระท่อมต่อการทำงานของสมอง ด้วยเทคนิคที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลง และสามารถติดตามการทำงานของสมองได้ต่อเนื่องแบบ real-time ซึ่งเทคนิคดังกล่าวคือ การวัดสัญญาณคลื่นไฟฟ้าสมอง (electroencephalo-graphy, EEG)
สำหรับการศึกษาผลระยะยาวของการได้รับสารสกัดจากใบกระท่อม เพื่อดูอาการถอน หรืออาการลงแดง โดยเปรียบเทียบผลกับสารเสพติดมาตรฐาน ได้แก่ มอร์ฟีน และเอทานอล ผลการศึกษาพบว่า การได้รับมอร์ฟีนเพียง 3 วัน มีผลทำให้หนูทดลองติด และเมื่อชักนำให้เกิดอาการถอน ทำให้เกิดอาการถอนอย่างรุนแรง เช่น การกระโดดซ้ำๆ ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นในภาวะปกติ พร้อมทั้งมีการขับถ่ายเรี่ยราด เหมือนในกรณีของคนที่มีอาการลงแดงจากการเสพติดมอร์ฟีน
ส่วนการทดสอบการเสพติดเอทานอล โดยให้หนูทดลองกินอาหารเหลวที่มีเอทานอลผสมอยู่ 7% ด้วยตัวหนูเองเป็นเวลานาน 21 วัน ส่วนวันที่ 22 งดให้อาหารเหลวที่มีเอทานอล พบว่า หนูทดลองเกิดอาการถอนเอทานอล เห็นได้จากการเคลื่อนไหวที่พลุ่งพล่านมากขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของคลื่นไฟฟ้าสมองในช่วงความถี่แกมม่า (gamma wave) ในขณะที่หนูทดลองที่ได้รับสารสกัดอัลคาลอยด์จากใบกระท่อมเป็นเวลานาน 3 เดือน ในปริมาณ 20 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.นั้น เมื่อหยุดให้สารสกัดพบว่า ไม่ทำให้เกิดอาการถอน หรือทุรนทุรายทางด้านร่างกาย ดังที่พบในการศึกษาการถอนมอร์ฟีน และเอทานอลเลย
สรุปคือ ไม่พบอาการถอนกระท่อมทางด้านร่างกาย อย่างไรก็ตาม ควรมีการทดสอบขั้นต่อไปด้วยการวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง ซึ่งไว และมีความละเอียดสูงกว่า เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสมอง ซึ่งจะทำให้ได้คำตอบที่ชัดเจน
ได้มีการทดลองนำพืชกระท่อมมาประยุกต์ใช้ลดอาการถอนจากการเสพติดมอร์ฟีน และเหล้า พบว่า สารสกัดอัลคาลอยด์จากใบกระท่อมช่วยลดอาการถอนมอร์ฟีน โดยวัดจากพฤติกรรมการกระโดด และการขับถ่ายเหลว
ส่วนอาการถอนเหล้า หรือเอทานอลนั้น จากการประเมินผลด้านพฤติกรรม สังเกตได้จากระยะทางรวมทั้งหมดขณะที่หนูทดลองเคลื่อนไหว พบว่า หนูทดลองกลุ่มที่ถูกชักนำให้มีอาการถอนเหล้า มีระดับการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งแสดงถึงอาการลงแดงจากภาวะถอนเหล้านั่นเอง และเมื่อให้สารสกัดอัลคาลอยด์จากใบกระท่อมในขนาด 60 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. แก่หนูทดลองก่อนการถอนเหล้า พบว่า อาการถอนเหล้าลดความรุนแรงลงได้
และยังมีการค้นพบที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ สารสกัดอัลคาลอยด์จากใบกระท่อม บรรเทาอาการถอนเหล้าได้ผลดีพอๆ กับยามาตรฐานที่ใช้คือ ฟลูอ็อกซีติน (fluoxetine) ในขนาด 10 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
นอกจากการประเมินทางด้านพฤติกรรมแล้ว ยังมีการยืนยันด้วยรูปแบบของคลื่นไฟฟ้าสมอง จากรูปซึ่งแสดงคลื่นไฟฟ้าสมองในช่วงความถี่แกมมา จะเห็นได้ว่าหนูทดลองกลุ่มที่ไม่ถอนเหล้า เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ถอนเหล้า มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ คลื่นช่วงความถี่แกมมามีค่าเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่ถอนเหล้า แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ถอนเหล้า แต่ได้รับให้สารสกัดจากใบกระท่อม คลื่นช่วงความถี่แกมมาลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ผลจากการทดลองนี้ยืนยันได้ว่า สารสกัดจากใบกระท่อม สามารถลดอาการลงแดงได้ชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นี้เป็นสิ่งที่สามารถทำซ้ำ และได้ผลเหมือนเดิม ไม่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล หรือเวลา และสถานที่
สรุปแล้ว พืชกระท่อม สามารถบรรเทาอาการถอนเหล้าได้ผลใกล้เคียงกับยามาตรฐานฟลูอ็อกซีติน ไม่ว่าจะศึกษาจากพฤติกรรม หรือจากคลื่นไฟฟ้าสมอง
และจากการศึกษาผลแบบเฉียบพลันของสารสกัดจากใบกระท่อมต่อภาวะหลับ-ตื่น โดยเปรียบเทียบกับหนูทดลองกลุ่มควบคุม และกลุ่มที่ได้รับยามาตรฐานคือ ฟลูอ็อกซีติน10 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก .พบว่า ฟลูอ็อกซีติน ทำให้รูปแบบการนอนหลับเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ คือ มีผลกดการนอนหลับช่วงที่มีการกลอกลูกตา (rapid eye movement sleep) ส่วนหนูทดลองที่ได้รับสารสกัดอัลคาลอยด์จากใบกระท่อมทั้งขนาด 10 และ 60 มก.นั้น ไม่มีผลกดการนอนหลับช่วงที่มีการกลอกลูกตา แสดงให้เห็นว่าพืชกระท่อมไม่มีผลข้างเคียงดังกล่าว
การวิจัยที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการศึกษาในหนูทดลองที่มีการควบคุมปัจจัยต่างๆ ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อตัดปัจจัยบิดเบือนจากการตัดสิน หรือความคาดหวังของมนุษย์ แม้ว่าผลการทดลองที่ผ่านมาจะยังไม่สามารถชี้ชัดถึงฤทธิ์เสพติดของพืชกระท่อมได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากพฤติกรรมการเคี้ยวใบกระท่อมอย่างต่อเนื่องในกลุ่มเกษตรกร ก็น่าจะบ่งบอกถึงฤทธิ์เสพติดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคี้ยวใบกระท่อมเป็นเวลาสิบๆ ปีนั้น ถ้าไม่ได้เคี้ยวเมื่อถึงเวลา จะรู้สึกว่าไม่กระปรี้กระเปร่า หรือพร้อมที่จะทำงาน มีอาการอยากเคี้ยว หาวบ่อยๆ และหาวจนน้ำหูน้ำตาไหล คล้ายๆ กับคนที่ติดการเคี้ยวหมาก เพียงแต่ผลที่มีต่อร่างกายนั้น ไม่ชัดเจนเท่ากับการขาดเมทแอมเฟตามีน
นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจวัดผลของกระท่อมต่อการทำงานของสมองได้หลายวิธี การวัดผลทางพฤติกรรมอาจจะทำให้ได้เพียงข้อมูลเบื้องต้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการนำวิธีการตรวจวัดการทำงานของสมองที่ไว และละเอียดกว่ามาใช้ และถ้าพบว่าการหยุดเสพกระท่อมแล้วนำไปสู่ความผิดปกติของสมอง ก็จะสามารถชี้ชัดได้ว่า กระท่อมเป็นพืชที่มีฤทธิ์เสพติด หรือมีโทษ
ปัจจุบัน ห้องปฏิบัติการทางระบบประสาทของเราได้พัฒนาวิธีการบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง ทั้งในสัตว์ทดลอง และในคน เพื่อรองรับงานวิจัยด้านสารเสพติดรวมทั้งสารใหม่ๆ ที่มีการนำมาเสพ หรือใช้แบบผิดวัตถุประสงค์ เพื่อให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็น และทันต่อเหตุการณ์
ส่วนแนวความคิดที่จะนำมาใช้เพื่อบำบัดการเสพติดก็มีความเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้สรรพคุณ และหลีกเลี่ยงด้านที่เป็นโทษ ก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญไม่ควรให้มีการทดลองใช้พืชกระท่อมตามลำพัง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์บำบัดอย่างใกล้ชิด