เอ่ยถึงการนวด คนส่วนใหญ่คงต้องคิดถึงนวดแผนไทยที่วัดโพธิ์ ซึ่งเป็นศาสตร์การนวดที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก หากแต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า นวดแผนไทยของวัดโพธิ์นั้น มีที่มาที่ไปเช่นไร และมีความแตกต่างจากศาสตร์การนวดของชาติอื่นอย่างไร
แต่สำหรับเขาคนนี้ เสรัชย์ ตั้งตรงจิตร ผู้อำนวยการโรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน ได้คลุกคลีและมีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์การนวดตำรับวัดโพธิ์มาตั้งแต่ครั้งเขายังเป็นเด็ก เพราะเขาคือเขาทายาทรุ่นที่ 3 ของผู้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) และโรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน ซึ่งเปิดสอนหลักสูตรการนวดแผนโบราณที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในหมู่คนไทยและชาวต่างชาติ
• จุดกำเนิดโรงเรียนนวดวัดโพธิ์
เสรัชย์เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของโรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน หรือที่คนทั่วไปเรียก “โรงเรียนนวดวัดโพธิ์” ว่า โรงเรียนแห่งนี้เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 15 พ.ค.2505 สืบเนื่องจากครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาในงานวันสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อปี 2504
เมื่อเสด็จผ่านโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ คณะครูได้นำตำราแพทย์แผนโบราณของโรงเรียนขึ้นทูลเกล้าถวาย พระองค์ทรงมีรับสั่งถามว่า มีวิชานวดสอนด้วยหรือไม่ จากกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ในขณะนั้น จึงเรียกประชุมชาวบ้านละแวกวัดโพธิ์ เพื่อหารือถึงแนวคิดในการก่อตั้งโรงเรียนนวดแผนไทย
และเนื่องจากเห็นว่า คุณปู่ของคุณเสรัชย์(นายกำธร ตั้งตรงจิตร) ซึ่งเป็นเจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ และมีบ้านอยู่ในละแวกวัดโพธิ์ เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรอยู่แล้ว จึงได้มอบหมายให้คุณปู่ของคุณเสรัชย์ดำเนินการก่อตั้งโรงเรียนนวดแผนไทยขึ้น พร้อมทั้งรวบรวมตำราการนวดจากทั่วประเทศ และจัดทำเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน ซึ่งได้ดำเนินการสอนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
“เนื่องจากวัดโพธิ์เป็นที่เก็บรวบรวมความรู้เกี่ยวกับตำรายาและการนวดแผนไทย มาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ครั้งนั้นพระองค์ก็โปรดให้สร้างรูปฤๅษีดัดต้น 80 ท่าซึ่งทำด้วยดีบุก แล้วนำไปตั้งไว้ตามจุดต่างๆภายในวัด
จากนั้นสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ก็โปรดให้ประชุมสังคายนาตำราหมอนวด แล้วจารึกบนแผ่นหินอ่อนประดับไว้บนศาลาหน้าพระมหาเจดีย์ ด้านเหนือ โดยเขียนรูปคนกำหนดจุดและตำแหน่งเส้น
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้เขียนตำราแพทย์หลวง และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดให้สังคายนาตำราแพทย์แผนโบราณและการนวด กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเสด็จมาที่วัดโพธิ์ และตรัสถามเรื่องโรงเรียนสอนนวด ท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์จึงเรียกคุณปู่ผม ซึ่งทำธุรกิจผลิตยาขมตราใบห่ออยู่ในย่านนี้ไปคุยว่า อยากให้ช่วยตั้งโรงเรียนสอนนวด ก็เลยเกิดเป็นโรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวันจนถึงทุกวันนี้
ซึ่งนอกจากส่วนที่เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่แถวท่าเตียนแล้ว เรายังมีบริการนวดแผนไทยในวัดโพธิ์ด้วย ปัจจุบัน ก็มีทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการกันมาก” คุณรัชย์เล่าถึงจุดกำเนิดของโรงเรียนนวดวัดโพธิ์
• โรคที่สามารถบำบัดด้วยการนวด
ทั้งนี้ การนวดแผนไทยมีจุดเด่นที่แตกต่างจากศาสตร์การนวดของประเทศอื่นๆ ตรงที่การนวดแผนไทยจัดเป็นวิธีการรักษาโรคแขนงหนึ่งในตำราแพทย์แผนโบราณ เป็นการนวดที่ดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลือง ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ รวมถึงนวดเพื่อการผ่อนคลายให้นอนหลับ โดยหากนวดเพื่อไล่เลือดเข้าสู่หัวใจ จะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นกระฉับกระเฉง แต่หากนวดไล่เลือดออกจากหัวใจจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับง่าย
เนื่องจากการนวดแผนไทยนั้น มีที่มาจากการผสมผสานการนวดแบบอายุรเวทซึ่งเป็นศาสตร์การนวดของอินเดียและการแพทย์แผนจีนที่ใช้การจับจุดเพื่อฝังเข็ม ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า จุดที่ฝังเข็มจะใกล้เคียงกับจุดที่นวดแผนไทยใช้จับเส้น
โดยหลักนวดแผนไทยนั้น จะมีเส้นประธานสิบเป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย เส้นควบคุมการมองเห็น 2 เส้น เส้นควบคุมการทำงานของสมองและการหายใจ 2 เส้น เส้นควบคุมการได้ยิน 2 เส้น เส้นควบคุมการรับรส 1 เส้น เส้นชักใยซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวของขาและแขน1 เส้น และเส้นควบคุมการขับถ่าย 2 เส้น ผู้นวดจะใช้วิธีจับเส้น ไล่ลม และไล่การหมุนเวียนของเลือดไปตามเส้นดังกล่าว
“การนวดแผนไทยจัดเป็นวิธีการรักษาโรคแขนงหนึ่งในตำราแพทย์แผนโบราณ สมัยก่อนจะมีการนวดประคบ ซึ่งเป็นการนวดควบคู่กับการรักษาด้วยยาสมุนไพร ซึ่งมีทั้งยากินและยาทา แต่ปัจจุบันจะเน้นการนวดอย่างเดียว
ผู้ป่วยบางรายที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันไม่หาย ก็ลองมารักษาด้วยการนวดจับเส้นที่วัดโพธิ์ ปรากฏว่าอาการดีขึ้น จึงบอกต่อกันปากต่อปาก ทำให้การนวดของวัดโพธิ์มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในเวลาอันรวดเร็ว
สำหรับโรคที่สามารถรักษาด้วยการนวดแผนไทยตามตำรับของวัดโพธิ์ ก็ได้แก่ โรคที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เช่น กล้ามเนื้อซ้น ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก เส้นยึด นอนตกหมอน โรคเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด เช่น ปวดหัวไมเกรน นอนไม่หลับ อาการเจทแลคจากการนั่งเครื่องบินนานๆ และโรคที่เกี่ยวกับการไหลเวียนน้ำเหลือง เช่น ขาบวม
นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อของผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต และนวดเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตายเนื่องจากไม่ได้ใช้งาน ซึ่งหากผู้ป่วยมีการทำกายภาพบำบัดและออกกำลังกายร่วมด้วยก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมาเดินได้ใกล้เคียงกับปกติ
อย่างไรก็ดี มีผู้ป่วยบางโรคที่ไม่เหมาะกับการนวด นั่นก็คือผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากการนวดจะไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดมากเกินไป ซึ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว และอาจส่งกระทบต่อผู้ป่วยได้
นอกจากนั้น สุภาพสตรีที่กำลังมีประจำเดือนก็ไม่เหมาะที่จะรับบริการนวดในช่วงนั้น เนื่องจากการนวดจะเป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากเกินไปจนร่างกายอ่อนเพลีย” คุณเสรัชย์อธิบายถึงการบำบัดโรคด้วยศาสตร์การนวด
• นวดไทย ดังไกลทั่วโลก
กล่าวได้ว่า ปัจจุบันบริการนวดแผนไทยของวัดโพธิ์นั้น มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่ไปใช้บริการนวด เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าและปรับสมดุลภายในร่างกาย แม้แต่ชาวต่างชาติก็บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาใช้บริการนวดของไทยกันอย่างคึกคัก
ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่า นวดแผนโบราณเชตวันนั้น มีบริการนวดตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงวัยชรา สำหรับการนวดทารกนั้นจะทำให้เด็กเกิดความอบอุ่น ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี
ส่วนการนวดเด็กออทิสติกก็เป็นการบำบัดอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากปัญหาของเด็กออทิสติกส่วนใหญ่คือไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ ส่งผลให้เด็กเครียดและเป็นเด็กที่ก้าวร้าว มักทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง แต่เมื่อได้รับการสัมผัสจากการนวดจะทำให้เด็กอารมณ์เย็นลง ช่วยกระตุ้นส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้เด็กสามารถควบคุมกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น มีสมาธิในการรับรู้สิ่งต่างๆมากขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีการนวดเพื่อผ่อนคลาย ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และเพื่อบำบัดโรคสำหรับวัยผู้ใหญ่ นวดเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูกล้ามเนื้อสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต
“คนที่มารับบริการนวดที่วัดโพธิ์จะมีทั้งชาวไทยและต่างชาติ สำหรับคนไทยก็เป็นกลุ่มที่มีอาการเคล็ดขัดยอก เส้นตึง มีอาการออฟฟิศซินโดรม ซึ่งมักจะปวดเมื่อยบริเวณช่วงบนของร่างกาย ตั้งแต่เอวขึ้นมา ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดต้นคอ จนถึงศีรษะ ซึ่งเกิดจากความเครียด นั่งท่าเดียวเป็นเวลานานๆ ก็จะมาใช้บริการในช่วงเสาร์-อาทิตย์ ส่วนชาวต่างชาติจะนิยมมาใช้บริการในวันธรรมดา เดินเที่ยวเสร็จก็มานวดคลายเมื่อย
ส่วนใหญ่มาใช้บริการแล้วก็ติดใจ เพราะนวดแผนไทยไม่ใช่ได้แค่ความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนกับนวดอโรมาของประเทศอื่นๆ แต่คนที่มานวดจะรู้สึกเลยว่า เลือดลมภายในไหลเวียนดีขึ้น อาการปวดเมื่อยหายไป และรู้สึกสดชื่นกระฉับกระเฉง
นอกจากนั้น ยังเชื่อว่าศาสตร์การนวดของหลายๆประเทศนั้น ถูกดัดแปลงไปจากการนวดแผนไทย เช่น นวดแบบสวีดิช ซึ่งจะต่างจากนวดแผนไทยตรงที่ลักษณะการนวดจะเป็นการนวดน้ำมัน นวดอโรมา เพื่อความผ่อนคลาย ไม่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็น หรือการนวดแบบญี่ปุ่น ซึ่งท่าทางในการนวดจะคล้ายกับไทยมาก เพียงแต่แตกต่างกันที่วิธีนำเสนอ” คุณเสรัชย์พูดถึงความนิยมที่มีต่อการนวดแผนไทย
• ต่างชาติฮิตเรียนนวดวัดโพธิ์ มีตำราสอน 6 ภาษา
เนื่องจากความนิยมที่มีต่อการนวดแผนไทยนี่เอง ทำให้ชาวต่างชาติสนใจมาเรียนนวดที่โรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน ซึ่งหลักสูตรนวดของโรงเรียนแห่งนี้มีทั้งหลักสูตรระยะสั้นและระยะยาว เริ่มตั้งแต่หลักสูตรการนวดขั้นพื้นฐาน นวดเพื่อการบำบัด นวดเพื่อการรักษาโรค นวดคุณแม่ก่อนคลอดและหลังคลอด นวดผู้หญิงวัยทอง นวดทารกและเด็ก นวดน้ำมัน นวดเท้า นวดหน้า และนวดสปา อีกทั้งตำราที่ใช้ในการเรียนการสอนนั้น นอกจากเป็นตำราภาษาไทยแล้วยังถูกแปลเป็นภาษาต่างชาติถึง 5 ภาษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนอีกด้วย
“หลักสูตรการนวดของโรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน มีคนให้ความสนใจมาเรียนกันเยอะมาก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากหลักสูตรของเรานั้นหลายๆประเทศให้การรับรอง และมีการสอนเป็นภาษาอังกฤษด้วย
ส่วนตำราที่ใช้สอนเรามีถึง 6 ภาษา คือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น แล้วในหลายประเทศจะมีกฎว่าทุกๆ 2 ปี ผู้ที่ประกอบอาชีพนวดจะต้องไปเรียนเพิ่มเติมความรู้ในหลักสูตรใหม่ๆ เพราะฉะนั้น ฝรั่งที่ประกอบอาชีพนวดอยู่แล้ว จึงจะนิยมมาเรียนกับเราเพื่อเพิ่มเติมความรู้ เพราะนอกจากหลักสูตรของเราได้รับการยอมรับแล้ว เรายังมีอาจารย์ที่สามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษด้วย” คุณเสรัชย์เล่าถึงหลักสูตรนวดแผนไทยของโรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ ด้วยความด้วยความภาคภูมิใจ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ กิจการนวดแผนโบราณซึ่งเป็นธุรกิจเก่าแก่ของตระกูลตั้งตรงจิต เจริญเติบโตและแตกกิ่งก้านสาขาออกไป
คุณเสรัชย์กล่าวทิ้งท้ายว่า เขารู้สึกภาคภูมิใจที่โรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นวดแผนไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล อีกทั้งขณะนี้การนวดแผนไทยได้รับการบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยรามคำแหง อีกด้วย
• โรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน
ปัจจุบันโรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวันมี 4 สาขา ได้แก่
1. โรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวันและบริการนวดแผนไทยที่วัดโพธิ์ กรุงเทพฯ
2. ศูนย์สุขภาพเชตวันศาลายา “เชตวัน รีทรีท รีสอร์ท” อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งเป็นศูนย์สุขภาพครบวงจร มีทั้งโรงเรียนสอนนวด บริการนวดตำรับวัดโพธิ์ การประคบ อบสมุนไพร คอร์สนั่งสมาธิ การบริหารร่างกาย การออกกำลังกายในน้ำ ซาวน่า ฟิตเนส ผู้ที่มาใช้บริการสามารถใช้เวลาในวันหยุดอย่างคุ้มค่า ได้ทั้งการพักผ่อนและสุขภาพ
3. โรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน แจ้งวัฒนะ กทม.
4. โรงเรียนนวดแผนโบราณเชตวัน จ.เชียงใหม่
ซึ่งโรงเรียนทั้ง 4 แห่งนี้มีทั้งการเรียนการสอน และมีที่พักไว้รองรับนักเรียนที่มาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศด้วย รวมทั้งให้บริการนวดสำหรับผู้ที่สนใจ
นอกจากนี้ ยังมีศูนย์สุขภาพเชตวันที่ให้บริการนวดอีก 4 แห่ง ได้แก่
- ศูนย์สุขภาพเชตวัน สาขารัชดา-รามอินทรา กทม.
- ศูนย์สุขภาพเชตวัน สาขากาญจนาภิเษก กทม.
- ศูนย์สุขภาพเชตวัน สาขาราชพฤกษ์ กทม.
- ศูนย์สุขภาพเชตวัน สาขาปตท.เกษตร-นวมินทร์ กทม.
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 153 กันยายน 2556 โดย กฤตสอร)