แสงทองของวันใหม่ยังไม่ทอแสง เสียงไก่ยกแรกดังปลุกให้ทุกคนได้ตื่น เพราะมันนอนอยู่บนเชิงใต้หลังคาคอกวัวที่อยู่ชิดกับฝาบ้าน เสียงไก่ขันยกแรกน่าจะเป็นเวลาตีสามครึ่ง หรือตีสี่ตอนหัวรุ่ง แม่เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นจุดตะเกียงด้วยไม้ขีดไฟ และเดินเข้าครัว เสียงแม่สับไต้เพื่อก่อไฟหุงข้าวเตรียมไว้ใส่บาตรพระตอนรุ่งเช้า พ่อตื่นเป็นคนที่สอง พร้อมจุดตะเกียงอีกดวง ขยับไปนั่งทอดเท้าสองข้างอยู่บนแคร่หน้าบ้าน มวนยาสูบควันโขมง บางครั้งเสียงจอบขุดหลุมใกล้ๆ ริมรั้วบ้าน ทุกคนก็รู้ว่านั่นพ่อกำลังไปถ่าย หลังจากนั้นก็เป็นคิวของแม่ หรือพวกเรา
จ้อนงัวเงียคลานออกจากผ้าถุงของแม่ที่ใช้เป็นทั้งผ้าห่ม ผ้าคลุมโปงนอน มันช่างเป็นเวลาที่แสนทรมานของเด็กวัยนี้ ที่จะต้องรีบตื่นตั้งแต่เวลานี้เป็นประจำ หน้าที่ของจ้อนคือ จูงวัวไปนากับพ่อในฤดูทำนา หมดหน้านาก็ต้องมีหน้าที่นำวัวออกไปล่ามในสวนมะพร้าวเพื่อให้มันได้กินหญ้า ก่อนที่จะรีบกลับมาอาบน้ำ และเดินไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน นี่คือภารกิจของเด็กน้อยแห่งท้องทุ่ง จ้อนใช้เท้าแหย่สะกิดพี่สาวอีก 2 คนที่นอนใกล้ๆ กันให้ลุกขึ้น ส่วนน้องๆ อีก 3 คนที่นอนใกล้กันจ้อนไม่กล้าแหย่ เพราะมันหมายถึงน้องๆ จะเอะอะโวยวาย และจะโดนพ่อ หรือแม่ดุเอาได้ว่าไปแกล้งน้อง จ้อนเดินลงจากบ้านไปที่คอกวัว แอ่นพุงยืนฉี่ที่ริมคอกวัวตรงนั้นเป็นกิจวัตร
ในหมู่บ้านของจ้อนไม่มีถนน มีแต่ทางเดินที่ไม่กว้างนัก ทางเดินลัดเลาะไปตามชายคาบ้านของเพื่อนบ้าน บางบ้านก็มีรั้วต้นชาเว้นทางเดินให้คน และวัวพอเดินได้ บ้านหลังอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน เสียงไก่ขันเสียงเอะอะโวยวาย เสียงพูด เสียงตะโกนปลุกกันระหว่างพ่อแม่ลูกเป็นเสียงที่คุ้นชิน แม่วัว 2 ตัวไม่ต้องจูง เพียงใช้เชือกพาดบนคอ และเขาของมัน มันก็เดินไปตามทางอย่างรู้งาน แต่ตัวอื่น หรือลูกวัวตัวเล็กๆ ต้องจูงด้วยเชือกจากหวิง (สนตะพาย) หรือเชือกผูกคอ จ้อนเดินระหว่างกลางของแม่วัวที่นำหน้า 2 ตัว กับวัวตัวอื่นๆ อีก 4-5 ตัวที่เดินตามด้านหลัง พ่อแบกคันไถเดินรั้งท้ายสุด เพื่อต้อนลูกวัว ความเงียบยังปกคลุมหมู่บ้าน มีแต่เสียงไล่วัวด้วยเสียงดุๆ หรืออ่อนโยนก็แล้วแต่นิสัยของแต่ละคนที่เดินจูงวัวออกสู่ทุ่งนาของหมู่บ้าน การทักทายถามไถ่กันถึงกิจกรรมที่แต่ละคนต่างรู้ว่าเมื่อคืนใครไปทำอะไรกันมาบ้าง
“พรื่อมั่งไปจมไหลเมื่อคืนได้กี่ตัว” แป๊ะเลี่ยนเซียนจมไหลมักถูกถามเช่นนี้ทุกวัน
“เมื่อคืนกูได้ข่าวว่ามึงไปเรียกนกแฝก... พรื่อมั่ง” พ่อถามหลวงหนิดเซียนนกแฝกที่เดินจูงวัวตามหลังกันมา
พอโผล่ออกทุ่งนาของหมู่บ้าน แสงทองเริ่มทอแสง หมู่นกกาบินออกสู่ท้องทุ่ง เสียงนกเอี้ยงที่มักอยู่รวมกันเป็นฝูงบนต้นมะพร้าว หรือต้นไม้ใหญ่ มักส่งเสียงจอแจยามย่ำรุ่ง หลังจากครอบแอกวัวให้พ่อเสร็จเรียบร้อย จ้อนก็มักอ้อยอิ่งอยู่ตามนา หากเมื่อคืนฝนตกหนักมีน้ำขัง เขาก็เล็งตามกอหญ้ากอซังข้าว เพื่อหารังแมงดา หรือแวะเวียนไปยังรังแมงดาที่หมายไว้จากวันก่อน และยังจับแม่ของมันยังไม่ได้ วันไหนได้แม่แมงดากลับบ้านสัก 2-3 ตัว นั่นหมายถึงผลงานที่สวยสดที่จ้อนได้ทำให้แก่ครอบครัวในวันนั้น และได้นำไปคุยโม้กับเพื่อนๆ ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน
บางครั้งจ้อนก็มักเดินไปบ้านคุณตาซึ่งอยู่ริมท้องทุ่ง คุณตาของจ้อนเป็นที่รับรู้กันทั้งหมู่บ้านว่าเป็นเซียนดักกุ้งนา ดักปลาตามท้องร่อง จ้อนมักได้ปลาช่อนตัวโตๆ ไปฝากแม่เสมอ บางครั้งก็ได้กุ้งนาเป็นถุงๆ จากบ้านคุณตา นั่นหมายถึงว่าพรุ่งนี้แม่จะได้มีกุ้งชุบแป้งทอดใส่บาตรพระ และเขาก็จะได้กินกุ้งชุบแป้งทอดรสจัดด้วยฝีมือตำเครื่องผสมแป้งที่เขาไม่เคยลืมรสชาติของมัน
เมื่อเห็นพระคุณเจ้า 2 รูปเดินโผล่ออกมาจากทิวทุ่งอีกด้าน จ้อนก็รู้ว่าถึงเวลาที่จะกลับไปบ้านได้แล้ว เพราะมันหมายถึงเวลาอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน จ้อนมีกางเกงสีกากีใส่ไปโรงเรียนแค่ 2 ตัว เสื้อ 2 ตัว ทั้งโรงเรียนไม่มีนักเรียนคนไหนมีรองเท้าใส่ นอกจากลูกจ่าเอิดเพียงคนเดียวที่มีรองเท้าใส่ นอกนั้นนักเรียนไม่มีใครใส่รองเท้าไปโรงเรียน ที่บ้านจ้อนก็ไม่ค่อยเห็นใครใส่รองเท้ากัน ที่บ้านมีรองเท้ายางที่สายมันคงขาดมาแล้วหลายครั้ง เพราะสายที่ใช้สำหรับหนีบเท้ามันถูกเปลี่ยนเป็นเชือกควั่นตั้งหลายหนแล้ว
จ้อนนัดเจ้าเสิดเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างกันไม่มาก และเป็นเพื่อนร่วมชั้นเดินไปโรงเรียนด้วยกัน แม่เจ้าเสิดเป็นแม่ค้าขนม เพราะฉะนั้นเช้าวันพุธ และเช้าวันอาทิตย์ จ้อนมักได้กินขนมที่แม่เจ้าเสิดเป็นทำไปขายที่ตลาดเป็นประจำ ในหมู่บ้านจ้อนมีเพื่อนร่วมชั้นด้วยกัน 5 คน นอกจากเจ้าเสิดแล้ว เจ้ารัญ และเจ้าวอน เจ้าทิด ซึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้าน ทีมนั้นเขามักเดินตัดทุ่งนา ไปขึ้นถนนใกล้ๆ กับโรงเรียน บางครั้ง 5 เพื่อนเกลอก็นัดกันเดินตัดทุ่งนาไปด้วยกัน เพราะทางผ่านจุดตัดที่มีเด็กอีกหมู่บ้านมาพบกัน มักมีนักเลงดีมาชวนต่อยมวยกันเป็นประจำ ทำให้ 5 เกลอซึ่งมีนิสัยขี้แพ้ ไม่สู้คนมักหาทางหลบหน้าเพื่อนร่วมโรงเรียนต่างหมู่บ้านกลุ่มนั้นเสมอๆ (ยังมีต่อ)