12 ส.ส.หญิง ปชป.แถลงโต้ ส.ส.หญิง พท.หลังบี้ “อภิสิทธิ์” ขอโทษคำว่าอีโง่ แจงจ้อถึงโครงการสมาร์ทเลดี้ ชี้แข่งหาอีโง่ไม่มีใครแข่งได้ ไม่ได้ดูถูกผู้หญิงหรือหมายถึงนายกฯ เย้ยออกมาโต้เท่ากับดูถูก “ยิ่งลักษณ์” เอง ควรปล่อยให้ใช้ไหวพริบพิสูจน์ ยันเพศเท่าเทียม อย่าทำเป็นสตรีด้อยกว่า เพื่อฉวยโอกาสการเมือง นำผ้าถุงเป็นเกาะกันคำวิจารณ์ ย้ำบุคคลสาธารณะต้องถูกวิจารณ์ อย่าอ้างผู้หญิง
วันนี้ (10 ก.ย.) ที่รัฐสภา 12 ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ ส.ส.กทม. นางอัญชลี วานิชเทพบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงข่าวกรณี ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาขอโทษในการใช้คำพูดอีโง่ในการปราศรัย โดย นางเจิมมาศ กล่าวว่า ส.ส.หญิง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าว 4 ข้อ คือ 1.ที่นายอภิสิทธิ์พูดถึงโครงการสมาร์ทเลดี้ว่าทำไมต้องประกวดผู้หญิงฉลาด เพราะเขาบอกว่าถ้าแข่งขันหาอีโง่ไม่มีใครไปแข่งได้ ซึ่งไม่ได้มีความหมายดูถูกสตรีไทย และไม่ได้กล่าวถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แต่อย่างใด และยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่าหญิงไทยไม่มีใครเป็นอีโง่ 2.การที่ ส.ส.หญิง พรรคเพื่อไทย ออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ เท่ากับว่ากำลังดูถูก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เอง ดังนั้นควรที่จะปล่อยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงโดยการแสดงปฏิญาณไหวพริบเพื่อพิสูจน์ความสามารถ
นางเจิมมาศ กล่าวอีกว่า 3.การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย ออกมาตอบโต้นั้น เป็นการทำเหมือนว่าสตรีมีความอ่อนด้อย ต้องมีแต้มต่อทางการเมือง ทั้งที่ผู้หญิงผู้ชายควรแสดงความสามารถที่เท่าเทียมกัน และ 4.การที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ใช้ความเป็นผู้หญิงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อฉวยโอกาสทางการเมืองและใส่ร้ายผู้อื่น เป็นการเอาผ้าถุงผู้หญิงมาเป็นเกาะกำบังในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นการนำเรื่องเพศมาทำให้สังคมแบ่งแยก
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กทม.กล่าวว่า คนที่จะเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นนักการเมืองโดยเฉพาะตำแหน่งนายกฯ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ อย่าหยิบยกว่าพอเป็นผู้หญิงแล้วสังคมวิจารณ์ไม่ได้ จึงอยากให้ ส.ส.หญิงนอกจากจะทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรแล้ว ควรทำให้เป็นตัวอย่างว่าหญิงชายเท่าเทียมกัน และผู้หญิงสามารถเผชิญอุปสรรค และคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ หากพรรคเพื่อไทยต้องการชูบทบาทนายกฯ ก็ควรเปิดโอกาสให้นายกฯ ได้แสดงปฏิภาณไหวพริบในแก้ปัญหา แล้วสังคมจะเห็นประจักษ์ในความสามารถของนายกฯเอง
