xs
xsm
sm
md
lg

แม่ไม้การเมือง 1 / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
  
คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ  หยูทอง-แสงอุทัย
 
ในบรรดาศาสตร์ หรือความรู้สาขาต่างๆ ในโลกนี้ต่างพัฒนาล้ำหน้าไปมากแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์  ดาราศาสตร์  อุทกศาสตร์  คณิตศาสตร์  แพทยศาสตร์  มนุษยศาสตร์  สังคมศาสตร์  ไสยศาสตร์  โหราศาสตร์  แต่ศาสตร์ที่กล่าวกันว่าล้าหลัง หรือก้าวหน้าน้อยกว่าเพื่อนคือ “รัฐศาสตร์”  โดยเฉพาะสาขาที่ว่าด้วยการเมืองแบบตัวแทน  ยังคงถกเถียงกันด้วยประเด็นที่อริสโตเติล  พลาโต และใครต่อใครในประวัติศาสตร์เคยถกเถียงกันเป็นพันๆ ปีมาแล้ว
 
การเมืองไทยวันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น  ยังคงอยู่ในวังวนของความล้าหลังทั้งในส่วนของนักการเมืองผู้เสนอตัวรับใช้ประชาชน และผู้มีสิทธิเลือกตั้ง  รวมทั้งพรรคการเมืองที่มีส่วนใหญ่ก็ไม่มีสถานภาพ และบทบาทเป็นพรรคการเมืองในความหมายของ “พรรคการเมือง” ตามต้นแบบในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย  บางคนบอกว่า “เมืองไทยไม่มีพรรคการเมือง  มีแต่กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง” ด้วยซ้ำ
 
ว่ากันว่า “แม่ไม้การเมือง” ของนักการเมืองในประเทศด้อยพัฒนาเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ “รัฐศาสตร์” เป็นวิชาที่ทันสมัย  จนประชาชนคนทั่วไปที่ไม่ใช่คอการเมืองผู้คร่ำหวอดจะตามทัน  โดยเฉพาะนักการเมือง และพรรคการเมืองผู้ช่ำชองในกระบวนการสร้างภาพลักษณ์ให้ฝ่ายตนเอง และมีศักยภาพยิ่งในการทำลายภาพลักษณ์ของคู่แข่งขันทางการเมือง  โดยเฉพาะคนที่พวกเขากลัวว่าจะเอาชนะเขาได้  ถ้าไม่รีบทำลายให้ขาดความชอบธรรมหรือหมดความเชื่อถือเสียก่อน
 
ประชาชนคนทั่วไปคงไม่ทราบ หรือคาดไม่ถึงหรอกว่า  กลวิธีที่จะสร้างความไม่ชอบธรรมให้แก่คู่แข่งขันทางการเมือง  เริ่มตั้งแต่การจ้างคนไปนั่งปล่อยข่าวตามร้านน้ำชาว่า  นักการเมืองที่พวกเขากลัวว่าจะลงสมัคร และพวกเขาสู้ไม่ได้จะไม่ลงสมัครในสมัยหน้า  โดยนักการเมืองคนนั้นไม่เคยพูด และประชาชนในเขตเลือกตั้งก็ไม่เคยมีใครได้ยินเขาพูด  ครั้นพอถึงหน้าสมัครรับเลือกตั้ง นักการเมืองคนนั้นก็ลงสมัครตามปกติ  สร้างความไม่พอใจให้แก่คอการเมืองที่เคยได้รับข่าวปล่อย  หาว่าไม่รักษาสัจจะ  นักการเมืองคนนั้นก็ขาดความชอบธรรม และไม่สง่างามไปโดยปริยาย  ส่วนจะแพ้การเลือกตั้งหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบารมี และผลสำเร็จของการปล่อยข่าว
 
ยุทธวิธีการจ้างคนปล่อยข่าวเพื่อทำลายคู่แข่งขัน และสร้างกระแสให้แก่ตัวเอง และพรรคที่ตนสังกัด  นับเป็นแนวทางถนัดของนักการเมืองบ้านเรามานานแสนนาน  ควบคู่กับยุทธการการฉีกโปสเตอร์ หรือทำลายป้ายหาเสียงของตัวเอง  เพื่อให้ประชาชนคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เป็นการกระทำของคู่แข่ง  โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาต้องต่อสู้กับคู่แข่งที่มีโอกาสชนะเขามากกว่า  แนวทางที่สร้างความชอบธรรม และเรียกคะแนนสงสารให้แก่ตนเอง  และสร้างความไม่ชอบธรรม  ความน่ารังเกียจเหยียดหยามให้แก่คู่แข่งได้มากและเร็วที่สุดคือ  การทำลายป้ายหาเสียงของตนเอง  ซึ่งวิธีการนี้ถูกหยิบยกมาใช้ในทุกยุคทุกสมัย  ทั้งๆ ที่มีวิธีการอื่นอีกมากมายในการเอาชนะคู่แข่งแบบ “วิชามาร”
 
ในอดีตเคยเล่ากันในแวดวงอยู่ครั้งหนึ่ง  หมายเลข ๕  เป็นผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง  และถ้าไม่ใช้วิชามารขั้นเทพผู้สมัคร  หมายเลข ๕ ต้องชนะแน่นอน  แม่ไม้การเมือง หรือไม้ตายไม้สุดท้ายที่พรรคการเมืองพรรคนั้นใช้คือ  การสั่งการให้หัวคะแนนทุกหน่วยเลือกตั้งออกปฏิบัติการพ่นสีสเปรย์เลข ๕ ทุกบ้านที่เจ้าของบ้านหวงแหน  โดยเฉพาะบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ๆ  ในคืนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในเช้าของวันต่อมา  เมื่อเจ้าของบ้าน และเพื่อนบ้านตื่นขึ้นมาเห็นหมายเลข ๕ ถูกสเปรย์ไปทุกบ้านก็ต่างรุมกันสาปแช่งผู้สมัครหมายเลข ๕  ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงหารู้ไม่ว่า  ผู้สมัครคนนั้นไม่ได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  และเมื่อรับรู้ก็รู้ว่าคู่แข่งเป็นฝ่ายกระทำ  แต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้แล้ว
 
นอกจากนั้น  ในยามปกติที่ไม่ใช่หน้าหาเสียง  นักการเมืองผู้จัดเจนเหล่านี้จะมีลูกเล่น  แม้แต่การไปร่วมงานของชาวบ้านในเขตเลือกตั้ง  ถ้าเป็นนักการเมืองกลุ่มเดียวกันกับตน  หากนักการเมืองคนนั้นยังไม่ทราบข่าวงานตาย  งานแต่ง  งานบวช  หรืองานใดๆ ของชาวบ้านในเขตเลือกตั้ง  นักการเมืองที่ทราบข่าวและไปร่วมงานก็จะบอกเจ้าภาพว่า  นักการเมืองท่านนั้นติดภารกิจมาไม่ได้  แต่ได้ฝากซองมาทำบุญแล้ว  ส่วนนักการเมืองที่อยู่คนละกลุ่มกับตน และยังไม่ทราบเรื่องก็จะถูกนักการเมืองที่ไปร่วมงานบิดเบือนว่า  จะมาร่วมงาน  เพราะเจอกันก่อนหน้าที่ตนจะมางาน  ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนักการเมืองที่ถูกอ้างถึงยังไม่รู้เรื่อง  และในที่สุดก็คงไม่ได้มาร่วมงาน  เพราะยังไม่รู้ว่ามีงาน  ก็จะถูกเจ้าภาพตำหนิด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
 
เหล่านี้ล้วนเป็นบางส่วนของแม่ไม้การเมือง  ที่นักการเมืองบ้านเราเคยนำมาใช้  ในปัจจุบันนี้ก็เชื่อว่ายังถูกใช้อยู่  และนับวันจะมีความซับซ้อน  พลิกแพลงจนเกินกว่าที่ชาวบ้านธรรมดาหาเช้ากินค่ำ และด้อยสติปัญญาในทาง “ฉลาดแกมโกง” จะรู้เท่าทันได้  จึงมักตกเป็นเหยื่อให้นักการเมืองน้ำเน่าเหล่านี้หลอกสมัยแล้วสมัยเล่า  ครั้งแล้วครั้งเล่า
 
ปัจจุบัน การเมืองภาคประชาชนได้พัฒนาก้าวหน้าไปมากแล้ว  ด้วยกระบวนการขับเคลื่อนของภาคประชาชน  เปลี่ยนจากการเมืองแบบตัวแทน  ไปสู่การเมืองแบบมีส่วนร่วม  จากการเมืองแบบมีสิทธิ  ไปสู่การเมืองแบบมีส่วน  จากรัฐธรรมนูญโดยรูปแบบ  สู่รัฐธรรมนูญแบบเนื้อหาสาระ  ประชาธิปไตยในความหมายของประชาชนคือ  สิทธิในการรับบริการจากรัฐที่เท่าเทียม  มีคุณภาพ  แนวนโยบายแห่งรัฐที่สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี  การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ  และอื่นๆ ที่มีผลต่อวิถีชีวิต  ความเป็นอยู่ของตน  โดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น  แต่นักการเมืองกลับมีวิสัยทัศน์  โลกทัศน์ และวิธีคิดที่ล้าหลัง  ตามปัญหา และความต้องการของประชาชนไม่ทัน  นักการเมืองหลายคนจึงถูก “กงล้อแห่งการพัฒนาของประชาชน” ทับตายไปมากต่อมาก.
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น