ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ศูนย์ความรู้เฉพาะด้าน Ecoinformatics ม.วลัยลักษณ์ จัดประชุมนานาชาติ International Coral and Reef Fish workshop เชิญนักวิจัยทั้งในประเทศ และต่างประเทศร่วมให้ความรู้ เพื่อการศึกษาและดูแลระบบนิเวศของปะการังอย่างยั่งยืน
รศ.ดร.กฤษณะเดช เจริญสุธาสินี อาจารย์ประจำสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์ ในฐานะหัวหน้าศูนย์ความรู้เฉพาะด้านนิเวศวิทยาพยากรณ์และการจัดการ (Center of Excellence for Ecoinformatics) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โดยศูนย์ความรู้เฉพาะด้าน Ecoinformatics จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การออกแบบและวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาปะการังและปลาในแนวปะการัง (International Coral & Reef Fish Workshop) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจาก สวทช.
โดยได้รับเกียรติจาก Prof.Sally Holbrook, Prof. Russ Schmitt และ Dr.Andrew Brooks จาก University of California Santa Barbara, USA และ ดร.นิพนธ์ พงศ์สุวรรณ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ จากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน (Phuket Marine Biological Center) เป็นวิทยากร โดยได้รับความสนใจนักศึกษาระดับปริญญาตรี ม.เกษตรศาสตร์ นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์เชิงคำนวณ ม.วลัยลักษณ์ นักศึกษาระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาบารา (University of California Santa Barbara- UCSB) ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเข้าร่วมอบรม
รศ.ดร.กฤษณะเดช กล่าวว่า สืบเนื่องจากทางทีมงานศูนย์ความรู้เฉพาะด้าน Ecoinformatics ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับ Coral sensor network ที่เกาะราชา จ.ภูเก็ตร่วมกับ CREON (Coral Reef Environmental Observatory Network) และ Australia Institute of Marine Science, UCSD, UCSB และ UCSB เห็นว่าถ้าได้มีการเก็บข้อมูลทางชีววิทยา (ปะการังและปลาในแนวปะการัง) ร่วมด้วยจะทำให้เข้าใจระบบนิเวศปะการังที่เกาะราชาได้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการจัดอบรมในครั้งนี้
ทั้งนี้ ระบบ coral sensor network เป็นการติดตั้งเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ความเค็ม และความลึก ณ จุดที่เป็นแนวปะการังที่ระดับความลึก 10 เมตร บริเวณหน้าหาดขอนแคของเกาะราชา เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อาจจะเกิดปะการังฟอกขาว พร้อมติดตั้งกล้องวิดีโอใต้น้ำเพื่อศึกษาปลาในแนวปะการังและปะการัง เซ็นเซอร์ดังกล่าวจะแสดงผลแบบ real time online ทำให้เราสามารถติดตามข้อมูลอุณหภูมิของน้ำได้ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต
นอกจากนี้ ข้อมูลความลึกของน้ำทะเลสามารถนำมาประยุกต์บอกได้ว่าเกิดสึนามิที่เกาะราชา จ.ภูเก็ตหรือไม่ และหากเกิดจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกี่เมตร ทำให้สามารถเตือนนักท่องเที่ยวได้อย่างทันท่วงที
สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดอบรม จัดขึ้นเพื่อสร้างนักศึกษาระดับปริญญาโท/เอก และนักวิจัยให้มีพื้นฐานทางด้านการออกแบบการทดลอง และการวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านปะการัง และปลาในปะการัง การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ระหว่างนักศึกษาที่มีความสนใจทางด้านปะการัง และปลาในแนวปะการังทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการพัฒนา และแนะนำมาตรฐานการวิจัยทางด้านปะการัง และประชากรปลาในแนวปะการังระดับสากล
สำหรับการติดตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศปะการรังระยะยาว ทำให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างเวลา และระหว่างแนวปะการังจุดอื่นๆ ในประเทศไทยได้ โดยผู้อบรมได้ทำการสำรวจแนวปะการังบริเวณอ่าวขอนแคและอ่าวปะตก เกาะราชา จังหวัดภูเก็ต ร่วมกันวางเส้นทรานเซ็กถาวร (permanent line transect) จำนวน 7 เส้น พร้อมทั้งได้ศึกษาชนิด ขนาด และความชุกชุมของปลาในแนวปะการัง อีกทั้งยังได้ถ่ายภาพปะการัง และร่วมกันวิเคราะห์ปริมาณปะการังปกคลุมด้วยโปรแกรม CPCe ด้วย
รศ.ดร.กฤษณะเดช ยังบอกด้วยว่า สภาพปะการังไทยในปัจจุบันน่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากปะการังเกิดการฟอกขาวอย่างรุนแรงในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี2553 ทำให้ปะการังเขากวางที่อ่าวขอนแค เกาะราชา ตายเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ สาเหตุน่าจะมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงเกิน 32 องศาเซลเซียส ทั้งนี้อยากให้ทุกคนตระหนัก และให้ความสำคัญของปลาในแนวปะการัง ร่วมกันรักษาสมดุลของระบบนิเวศปะการัง
นอกจากนี้ การจับปลาในแนวปะการัง โดยเฉพาะกลุ่มปลากินพืช เช่น ปลานกแก้ว จะทำให้ไม่มีปลาที่คอยกินต้นอ่อนของสาหร่ายที่ขึ้นบนกอปะการัง อีกทั้งปะการังจะได้รับแสงอาทิตย์น้อยลง และถูกสาหร่ายขึ้นปกคลุม ในที่สุดปะการังก็จะตายไป
“ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมาดำน้ำที่เกาะราชาเยอะมาก นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ดีเพียงพอ และขาดทักษะการดำน้ำที่ถูกต้อง หลายครั้งที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เหยียบปะการังทำให้กิ่งปะการังหัก บางคนนำอาหารมาเลี้ยงปลาในแนวปะการัง ทำให้ปลาที่ควรจะกินสาหร่ายก็ไม่ไปกินสาหร่าย แต่กลับมารอขนมปังที่นักท่องเที่ยวนำมาเลี้ยงมันแทน ส่งผลกระทบต่อสมดุลธรรมชาติของระบบนิเวศปะการัง และจะมีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยวทางทะเลอย่างแน่นอน” รศ.ดร.กฤษณะเดช กล่าวทิ้งท้าย