xs
xsm
sm
md
lg

“อุบัติเหตุบนถนน” ภัยใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อุบัติเหตุทางถนน ภัยใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่เกิดจากคน สภาพถนน ยานพาหนะ สิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเราจะมองข้าม หรือจะบูรณาการความร่วมมือกันอันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยกันอย่างจริงจังอย่างไร จ.สตูล ถึงแม้จะเป็นจังหวัดที่ไม่ใหญ่มาก แต่ความรุนแรงจากอุบัติเหตุในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาก็ไม่น้อยหน้าเมืองใหญ่ๆ เลยเช่นกัน

รถพ่วง 18 ล้อ ทับเด็กน้อยขี่จักรยานยนต์

ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย จู่ๆ ก็มีเสียงวิทยุแจ้งขึ้นในเวลา 14 นาฬิกา 30 นาที ของวันที่ 12 เม.ย.2556 ว่า เกิดอุบัติเหตุบนถนนสามแยกผัง 32 หมู่ที่ 2 ต.อุใดเจริญ อ.ควนกาหลง จ.สตูล ทันใดนั้น ร.ต.ท.ดุษฎี สันตี พนักงานสอบสวนประจำวันพร้อมกำลังได้รุดไปยังจุดเกิดเหตุ พบร่างของหนูน้อยทราบชื่อภายหลังคือ ด.ญ.มานิตา ไม้แพ อายุ 12 ปี เธอเป็นเด็กในพื้นที่หมู่ที่ 2 ต.แป-ระ อ.ท่าแพ จ.สตูล ได้ขี่รถจักรยานยนต์มุ่งหน้าเพื่อกลับบ้าน

โดยจากการสอบปากคำพยานเห็นเหตุการณ์เล่าว่า จังหวะที่หนูน้อยกำลังขี่รถจักรยานยนต์บริเวณสามแยกผัง 32 อยู่ฝั่งเลนซ้าย และได้หักหัวรถจักรยานยนต์เพื่อเลี้ยวเข้าเลนขวา จังหวะนั้น รถพ่วง 18 ล้อ ซึ่งมีนายอุดมพร ไพจิตร อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นคน ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ขับรถผ่านเส้นทางมาพอดี ได้พุ่งตรงเข้าทับหน้าอก และแขนของ ด.ญ.มานิตา นอนเสียชีวิตคาที่เกิดเหตุ ทำให้ครอบครัว “ไม้แพ” ต้องสูญเสียบุตรสาวซึ่งเป็นที่รักของคนในครอบครัวไป ทั้งๆ ที่อยู่ในวัยเด็ก และไม่ได้คาดคิดว่าการตัดสินใจขี่รถจักรยานยนต์ข้ามถนนในครั้งนี้จะผิดพลาดจนต้องถึงกับชีวิต
นายไพฑูรย์ ไชยรัตน์
อพปร.อบต.ละงู ขี่สามล้อพ่วงถูกรถชนขณะเลี้ยวเข้าบ้าน

นางสมใจ ภรรยาของนายสุชีพ แสงดำ อพปร.อบต.ละงู วัย 54 ปี ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลละงู ด้วยอาการสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักจากแรงกระแทก ขณะเลี้ยวรถเข้าปากซอยเพื่อกลับบ้าน หลังกลับจากพาครอบครัว และพี่สาวหาหอยที่ชายหาด ในช่วงเวลา 1 ทุ่ม ของวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนางสมใจ ภรรยาของนายสุชีพ เล่าว่า ทุกคนนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง และขณะที่จะเลี้ยวเข้าซอยที่อยู่ใกล้โรงงานปาล์มสายละงู-ฉลุง ก็มีรถยนต์เก๋งขับมาด้วยความเร็วสูงหักหลบรถใหญ่ ก่อนจะชนท้ายรถของพวกตนล้มลงบาดเจ็บกัน แต่ไม่มีใครอาการสาหัสเท่าสามี ซึ่งต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และหมอไม่สามารถบอกได้ว่าจะหายเป็นปกติเมื่อไหร่

นายสุชีพ อพปร.อบต.ละงู ถือเป็นคนทำงานที่เพื่อนฝูงพี่น้องรักใคร่ ด้วยความขยันหมั่นเพียร เป็นหัวหน้าหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว โดยมีภรรยาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก และหลาน มาวันนี้แม้อาการยังไม่ทราบว่าจะหายเป็นปกติเมื่อไหร่ เพราะสมองได้รับกระทบเทือนจากแรงกระแทก ครอบครัวอีกหลายชีวิตต่างภาวนาให้เสาหลักของพวกเขาหายเป็นปกติโดยเร็ว

จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนแม้จะไม่แน่ชัดว่าสาเหตุการชนในครั้งนี้เกิดจากอะไรกันแน่ แต่ความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นกับครอบครัว “แสงดำ” แล้ว ทั้งร่างกาย และจิตใจ พวกเขาต้องนับวันเวลารอคอยให้คนซึ่งเป็นที่รัก และเสาหลักของครอบครัวได้กลับมาดำเนินชีวิตกันอย่างเป็นปกติสุข

แขวงการทางสตูลเผยมี 4 โค้งเสี่ยงตาย

นายไพฑูรย์ ไชยรัตน์ รองผู้อำนวยการแขวงการทางสตูล กล่าวว่า ลักษณะของถนนสาย 406 ในเขต จ.สตูล เป็นเส้นทาง 4 ช่องจราจรตลอดเส้นทาง มาตรฐานทางชั้นพิเศษ แต่มีจุดเสี่ยงทางโค้งอันตราย 4 โค้ง คือ โค้งวายุภักดิ์ โค้งอีซูซุ โค้งท่าสาย และโค้งบ้านควน 4 จุดเสี่ยงดังกล่าว ทางแขวงฯ พยายามที่จะแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ

ทั้งนี้ โค้งวายุภักดิ์-อีซูซุ-ท่าสาย ห่างกันเพียง 2 กิโลเมตร ตรงจุดนี้มีลักษณะโค้งหักศอก ซึ่งการแก้ปัญหาตามหลักการคือ ต้องแก้แนวทางโค้งถนนให้เป็นทางตรง ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 50 ล้านบาท ที่จะทำให้เป็นโค้งธรรมดาตามหลักวิศวกรรม แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้องล้ำพื้นที่ป่าสงวนเข้าไปประมาณ 30 เมตร โดยแนวคิดนี้ค้านกับมติ ครม.ซึ่งรับทราบ และเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ คือ ห้ามมิให้ตัดถนนเพื่อเป็นทางสัญจรสาธารณะขึ้นใหม่แทนเส้นทางสาธารณะเดิมที่มีอยู่ แล้วรวมทั้งไม่ให้ขยายช่องจราจรเพิ่ม

ถนนเมืองไทยไม่ให้อภัยผู้ใช้เส้นทางจริงหรือ?

รองผู้อำนวยการแขวงการทางสตูล กล่าวด้วยว่า ทางแขวงได้แก้ปัญหาเบื้องต้น โดยการของบประมาณทำคอนกรีตบาริเออร์ (กำแพงคอนกรีต) สูง 80 ซม. ให้คลุมทางโค้งเพื่อป้องกันรถเสียหลักตกข้างทาง และเพิ่มเหล็กราวกันอันตรายให้ครบทุกโค้ง รวมทั้งเสริมผิวถนนให้ฝืดขึ้น เพิ่มป้ายเตือน และการแก้ปัญหาด้านคนขับ คาดว่าปลายปี 2556 จะได้งบประมาณ 10 ล้านบาท ในการดำเนินการในพื้นที่จุดเสี่ยงดังกล่าว หากผู้ขับรถทำตามกฎจราจรก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุ เช่น ให้ขับรถตามความเร็วที่กำหนด คือ 80, 60 และ 40 กม.ต่อชั่วโมง รถจะไม่หลุดทางโค้ง ซึ่งปัจจัยทั้งหมดที่คาดว่าจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ทางแขวงมั่นใจว่าได้ดำเนินการทั้งหมดแล้ว

จากสถิติผู้เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่พบว่า เป็นผู้ที่ใช้เส้นทางประจำแล้วเกิดความประมาท โดยคิดว่าตัวเองชำนาญเส้นทาง ทั้งนี้ ตนยอมรับว่าเส้นทางถนนเมืองไทยไม่ได้ให้อภัยผู้ใช้ถนนมากนัก ไม่ว่าจะเกิดสุนัขวิ่งตัดหน้า หรือยางแตก เพราะถนนเมืองไทยไม่มีการเคลียร์โซนข้างทาง ในกรณีรถเสียหลักเพราะมีต้นไม้ เสาไฟฟ้า คอยรองรับทำให้เกิดความสูญเสียได้ง่าย หากเทียบกลับประเทศที่จะเจริญแล้ว

โดยปัจจัยที่เกิดอุบัติเหตุนั้นมองว่ามี 4 อย่าง คือ คน สภาพรถ สภาพถนน และสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจะเป็นคนสตูล ซึ่งเข้าใจว่าตนเองมีความชำนาญทาง บวกกับความประมาทจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งสถิติการเกิดอุบัติในปี 2555 บริเวณโค้งท่าสาย 6 ครั้ง โค้งอีซูซุ 2 ครั้ง และโค้งวายุภักดิ์ 6 ครั้ง

ไทยเสียชีวิตทางถนนสูงเป็นที่ 3 ของโลก

นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือแห่งองค์การอนามัยโลกด้านการป้องกันอุบัติเหตุ เปิดเผยรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ.2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก ว่า พบอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทยพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก เสียชีวิตถึง 38.1 คนต่อประชากร 100,000 คน รองจากประเทศเกาะนีอูเอ และสาธารณรัฐโดมินิกัน

นพ.วิทยา กล่าวว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน รวมจากทุกพาหนะ และคนเดินเท้าแล้วเป็นจำนวนถึง 13,766 คน จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2554 (ปี 2010) เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่จากการประมาณการเสียชีวิตจากอุบัติภัยบนท้องถนนของประเทศไทย โดยองค์การอนามัยโลกในปี 2010 มีจำนวนสูงถึง 26,312 คน คิดเป็นอัตรา 38.1 ต่อ ประชากร 100,000 คน

นพ.วิทยา กล่าวว่า อัตราการเสียชีวิตของแต่ละประเทศ ด้วยบรรทัดฐานเดียวกันคือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อประชากร 100,000 คน แล้วกลายเป็นว่าประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิต 38.1 คนต่อจำนวนประชากร 100,000 คน นับเป็นอันดับ 3 รองจาก อันดับ 1 คือ นีอูเอ (Niue) มีอัตราผู้เสียชีวิต 68.3 คน ต่อจำนวนประชากร 100,000 คน อันดับ 2 คือ สาธารณรัฐโดมินิกัน มีอัตราผู้เสียชีวิต 41.7 คนต่อจำนวนประชากร 100,000 คน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2556 ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยในรายงานความปลอดภัยทางถนนของโลก พ.ศ.2556 (Global Status Report on Road Safety 2013) ภาพรวมของการสำรวจจาก 182 ประเทศ มี 6 ประเทศที่สามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้อย่างน่าชื่นชม ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอังกฤษ ส่วนที่เหลืออีก 176 ประเทศ มี 88 ประเทศที่ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้จริง ขณะที่ 88 ประเทศที่เหลือ มี 1 ประเทศไม่มีระบุมีสถิติผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น (คิดว่าประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่มไหน) ในรายงานยังบอกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 15-29 ปี ถ้าแต่ละประเทศไม่ป้องกันการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจะขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ของการเสียชีวิตของคนทั้งโลกภายในปี พ.ศ.2573 (ปี 2030)

สำหรับนีอูเอ เป็นเกาะปกครองตนเอง อยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ของกษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกับประเทศอื่นในเครือจักรภพของอังกฤษ มีจำนวนรถจดทะเบียนรวมทุกประเภทที่ 848 คัน เป็นรถยนต์ 4 ล้อ 806 คัน รถ 2 ล้อ และ 3 ล้อ รวมกัน 30 คัน รถบัส 6 คัน รถบรรทุกหนัก 6 คัน ผู้เสียชีวิตเป็นชายจำนวน 1 คน ไม่มีบทลงโทษหักคะแนนผู้ขับรถ หน่วยงานรับผิดชอบงานด้านป้องกันอุบัติเหตุ คือ ตำรวจ องค์การอนามัยโลกคาดการณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจริงเก็บข้อมูลจากที่ไม่ได้อยู่ในรายงานตรงกันคือ 1 ราย

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเมื่อทราบข่าวอุบัติเหตุทางถนน หลายคนบอกอีกแล้วเหรอ หลายคนบอกก็เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์มีคนใช้เส้นทางสัญจรไปมามากทำให้เกิดอุบัติได้ง่าย หลายคนบอกว่า สงกรานต์เทศกาลของการสูญเสีย ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ ไม่ใช่เรื่องของเวรกรรม หรือต้องพึ่งศาลเพียงตา หากทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขก็จะไม่มีศพอีกต่อไป และไม่ต้องสูญเสียร่างกาย สูญเสียทรัพย์ และทรัพยากรบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศอย่างที่เราสูญเสียอยู่ นี่ยังไม่นับเส้นทางตามตรอกซอกซอยในหมู่บ้านที่เกิดอุบัติเหตุกันบ่อยครั้ง เพราะขาดความตระหนักในการใช้ถนนอีกด้วย

ส่วนอันดับ 2 สาธารณรัฐโดมินิกัน สาธารณรัฐโดมินิกัน เป็นประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือ จำนวนรถจดทะเบียนเป็น รถยนต์ 4 ล้อ จำนวน 914,628 คัน รถ 2 ล้อ และ 3 ล้อ รวมกัน 1,352,720 คัน รถบรรทุกหนัก 380,549 คัน รถบัส 73,716 คัน อื่นๆ 13,127 คัน ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบด้านนี้โดยตรง รายงานผู้เสียชีวิตจำนวน 1,902 คน เป็นชาย 85% หญิง 14% ค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 0.32% ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีการหักแต้มผู้กระทำผิด

และอันดับ 3 ประเทศไทย มียานพาหนะจดทะเบียน (ข้อมูลก่อนนโยบายรถคันแรก) เป็นรถยนต์ 4 ล้อ 9,887,706 คัน รถ 2 ล้อ และ 3 ล้อ จำนวน 17,322,538 คัน รถบรรทุกหนัก 816,844 คัน รถบัส 137,943 คัน อื่นๆ 319,798 คัน จำนวนผู้เสียชีวิตตามรายงาน 13,766 คน เป็นชาย 79% หญิง 21% ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 3% ของ GDP

ด้านความช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์หลังอุบัติเหตุ ประเทศเรามีเกือบครบ มีศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) สังเกตุได้ว่าทั้ง 3 ประเทศ มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างเดียว คือ ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องของการใช้เบาะที่นั่งสำหรับเด็กเล็กในรถยนต์ ส่วนคะแนนที่เหลือถ้าไม่นับเรื่องการสวมหมวกนิรภัยแล้ว เราเหนือกว่าอีก 2 ประเทศทุกด้าน เสียแต่ยังไม่สูงพอที่จะทำให้จำนวนอุบัติเหตุกับจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงได้

องค์การอนามัยโลกใช้ตัวชี้วัดทั้งหมด 12 ตัว ในการประเมินสถานะของแต่ละประเทศ ได้แก่ GDP ของประเทศ จำนวนยานพาหนะจดทะเบียนต่อประชากร 100,000 คน, จำนวนถนนต่อพื้นที่เฮกเตอร์, การใช้ความเร็วบนถนนในเมือง, การใช้ความเร็วบนถนนชนบท, การเข้าถึงการรักษาพยาบาล, ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, จำนวนผู้มีงานทำ, อัตราส่วนของรถจักรยานยนต์, ดัชนีชี้วัดด้านการทุจริตคอร์รัปชัน, นโยบายชาติสำหรับคนเดินเท้าและนักปั่นจักรยานและจำนวนประชากร

นับไม่ถ้วนสังเวยชีวิตบนถนน หากคุณประมาท

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนเมื่อทราบข่าวอุบัติเหตุทางถนน หลายคนบอกอีกแล้วเหรอ หลายคนบอกก็เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์มีคนใช้เส้นทางสัญจรไปมามากทำให้เกิดอุบัติได้ง่าย หลายคนบอกว่าสงกรานต์เทศกาลของการสูญเสีย ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ ไม่ใช่เรื่องของเวรกรรมหรือต้องพึ่งศาลเพียงตา หากทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขก็จะไม่มีศพอีกต่อไป และไม่ต้องสูญเสียร่างกาย สูญเสียทรัพย์และทรัพยากรบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศอย่างที่เราสูญเสียอยู่ นี่ยังไม่นับเส้นทางตามตรอกซอกซอยในหมู่บ้านที่เกิดอุบัติเหตุกันบ่อยครั้ง เพราะขาดความตระหนักในการใช้ถนนอีกด้วย
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น