xs
xsm
sm
md
lg

“นอมินี” ตัวอัปรีย์กินเมือง เขมือบไปแล้ว 90% / ประเสริฐ เฟื่องฟู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ  เฟื่องฟู
 
“นอมินี” (Norminee) คำนี้มาจากภาษาฝรั่ง เปิดดิกฯดูแล้ว ความหมายมันดี แค่เป็นตัวแทน ดำเนินการเท่านั้น ไม่น่ามีพิษ เป็นภัยกับใคร
 
แต่ “นอมินี” นี้กลับบาดหูบาดใจคนไทยพอสมควร เท่าที่รู้ในความรู้สึกเป็นเหมือนตัวเสนียด ที่เข้ามาอาศัยร่างทรง หรือคราบคนอื่นทำมาหากิน และแม้แต่ร่างทรง หรือผู้ที่เป็นตัวแทนเองก็ปิดบังตัวตน ไม่ยอมรับว่า เป็น “นอมินี” ของใคร และใครให้มาเป็น “นอมินี”
 
คนไทยขยะแขยง สะอิดสะเอียนกันมาแรมปี กับรัฐบาลที่เป็น “นอมินี” ของสัมภเวสี หลบหนีคดี เร่ร่อนอยู่ในต่างแดน ปล่อยให้สมุนกินบ้านกินมืองอย่างสุขสำราญ สับเปลี่ยนกันเป็นรัฐมนตรี ใช้อำนาจหน้าที่หาผลประโยชน์ มีพวกนี้เท่านั้นแหละที่ชื่นชม และกำลังดิ้นสุดฤทธิ์สุดเดชที่จะแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อเอาตัว “อัปรีย์” กลับมาขึ้นหิ้งบูชา
 
จะอย่างไรก็ตาม ในช่วงกลียุคที่ผ่านมา มีนายกรัฐมนตรีไทยคนเดียวที่ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า เป็นนอมินีของ “ทักษิณ ชิณวัตร” นักโทษชายหลบหนีอาญาแผ่นดินที่เร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศขณะนั้น จนถึงขณะนี้ นั่นคือ
 
“สมัคร สุนทรเวช” นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 25 ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว
 

 
และที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น ก็คือ คนไทยที่ยอมเป็นนอมินีต่างชาติ ช่วยกอบโกยเอาผลประโยชน์จากแผ่นดินเกิดของตัวเอง ประเคนให้ต่างชาติขนเอาไปอย่างไม่มีขีดจำกัด คนประเภทนี้สมควรที่จะได้รับการสาปแช่งจากคนไทยทั้งชาติ และถูกประณามเป็น “คนหนักแผ่นดิน”
 
จากการเป็นเมืองท่องเที่ยว และผลที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดกว้างโฆษณาชักชวนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน หวังดึงเงินตราต่างประเทศเข้ามา แต่กลับเป็นการเปิดช่องให้นักฉวยโอกาสแฝงตัวมากอบโกยเอาผลประโยชน์ออกไปในแต่ละปีจำนวนมหาศาล เป็นเพราะเราไม่มีวิธีการสกัด กลั่นกรองการไหลออกของเงินตรา ขาดการติดตามตรวจสอบ และไม่เข้มในกฎหมาย
 
ในยุคก่อนหน้านี้ ช่วงท่องเที่ยวกำลังบูมใหม่ๆ นักลงทุน ประเภทโรบินฮูด หรือนักขุดทอง ฝรั่งตาน้ำข้าวมัน เข้ามาเมืองไทย หาเมียเช่าคนไทยเป็นนางบำเรอ ถ้าอยู่ในโอวาทพร้อมเป็นขี้ข้า อาจจดทะเบียนหรือไม่จดก็ตามแต่ ใช้ชื่อเมียเช่าของมัน เปิดสถานบริการตั้งเคาน์เตอร์บาร์เบียร์ แล้วขยับขยายเป็นขายอาหาร
 
บางรายถ้าชัวร์ซื่อกับมัน ก็ถึงขั้นเช่าซื้อตึกเปิดเป็นภัตตาคาร สถานบริการให้ มีให้เห็นอยู่ทุกซอกทุกมุมตามแหล่งท่องเที่ยว ทั้งฝั่งตะวันออก พัทยา นาเกลือ จังหวัดชลบุรี หรือระยอง ยันลงมาทางฝั่งอ่าวไทย เกาะสมุย เกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี วกมาทางฝั่งอันดามันที่ภูเก็ต พังงา กระบี่ เห็นชัดเจนที่สุดแถวป่าตอง กะตะ กะรน
 
เวลามันกลับเมือง มันขนไปจนเกลี้ยง เหลือทิ้งไว้ติดเก๊ะพอให้เมียเช่า หรือนอมินีมันทำทุนต่อ พอกลับมารอบใหม่ ถึงเวลาก็ขนออกไปอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าไม่ซื่อกับมัน ก็เป็นกระสอบทราย จนขึ้นโรงพัก บางรายมันเฉดหัวไป หารายใหม่มาสวมแทน ทำเป็นเข้ามาเซ้งกิจการต่อ
 
นั่น... เป็นวิธีการหนึ่งของฝรั่งนักฉวยโอกาสเจ้าเล่ห์ ที่ใช้เมียเช่าเป็น “นอมินี” ให้มันหากินแบบง่ายๆ ลงทุนน้อย แต่กำไรงามๆ ที่หาที่อื่นไม่ได้อีกแล้วนอกจากเมืองไทย
 

 
อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นกันชัดๆ มีการประท้วงกัน ตรวจสอบแล้วว่ามันจริง จากการเปิดบริษัททัวร์นอมินีของเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ล่าสุด ก็รัสเซีย ชนิดทำครบวงจร ขนทั้งไกด์ ขนทั้งกุ๊กมาเปิดภัตตาคาร พร้อมทั้งรถแท็กซี่ รถตู้ รถบัสเช่าประจำ ติดโลโก้ประกาศให้เห็นชัดเจน เอาไว้รองรับนักท่องเที่ยว
 
มิหนำซ้ำยังมีการตั้งเคาน์เตอร์ หรือโต๊ะทัวร์ มีแหม่มสาวชาวรัสเซียขายแข่งกับทัวร์ไทยอย่างเปิดเผย
 
แต่เจ้าหน้าที่กลับทำอะไรมันไม่ได้ คงได้แค่ไล่จับไกด์เถื่อน จับแหม่มรัสเซียรับจ้างขายทัวร์ นั่นเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ส่วนบริษัททัวร์กลับทำอะไรมันไม่ได้ มันก็แปลกเหมือนกัน มีทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งดีเอสไอ เข้าไปตรวจสอบ แต่พอถึงเวลากลับไปมะงุมมะงาหราอยู่ไหนก็ไม่รู้
 
ในกรณีนักลงทุนระดับบิ๊ก หรือมาเฟียต่างชาติ เมื่อปีสองปีที่ผ่านมามีข่าวว่า บริษัทต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่ดินทางภาคกลางจำนวนมหาศาล โดยให้นายหน้าคนไทยกว้านซื้อเป็นแปลงใหญ่ติดต่อกัน ว่ากันว่า จะทำการเกษตรแบบครบวงจร แล้วส่งกลับไปขายต่างประเทศ ข่าวนี้เปิดเผยโดย ประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทยในขณะนั้น
 
“แม้การตรวจสอบการเข้ามากว้านซื้อที่ดินของบริษัทต่างชาติโดยผ่านนอมินีคนไทยยังไม่ชัดเจน แต่รายงานเบื้องต้นทราบว่า มีการกว้านซื้อที่ดินบางส่วนจริง”
 
ต่อมา เรื่องนี้ได้ถึงมือ “ดีเอสไอ” และได้ดำเนินการตรวจสอบในทุกพื้นที่ที่มีข้อมูลระบุ เฉพาะในพื้นที่ภาคกลางนานแล้ว เพราะอาชีพการเกษตร เป็นอาชีพสงวนของคนไทย ต้องห้ามสำหรับชาวต่างชาติ แต่เรื่องก็ได้เงียบหายไป โดยรัฐบาลปัจจุบันได้แจ้งว่า “ไม่มีมูล”
 
โดยความเป็นจริงตามกฎหมายไทย ไม่ให้สิทธิต่างชาติถือครองที่ดิน แต่มีการเลี่ยงโดยลักษณะการเข้ามาจัดตั้งบริษัทนิติบุคคล ให้คนไทยถือหุ้นร้อยละ 51 และต่างชาติร้อยละ 49 เพื่อไม่ให้ขัดกฎหมาย การนำชื่อคนไทยมาร่วมถือหุ้นในบริษัทเป็นเพียงหุ้นลม และไม่ได้มีการนำเงินร่วมลงทุนจริง เงินลงทุนทั้งหมดเป็นของต่างชาติ
 

 
คนกลุ่มนี้จะเลี่ยงกฎหมายด้วยการใช้วิธีทำสัญญาเช่าเป็นระยะยาว ซึ่งกฎหมายแพ่งระบุห้ามเช่าเกิน 30 ปี แต่สามารถเช่าได้ต่อเนื่อง กล่าวคือ เมื่อครบ 30 ปีแล้ว ก็ต่อสัญญาเช่าได้อีก 30 ปี และอาจต่อได้อีกถึง 60 ปี หรืออาจต่อสัญญาไปได้เรื่อยๆ รูปแบบจะเป็นการเช่า แต่ความเป็นจริงก็เป็นเจ้าของที่ดินนั่นเอง
 
จังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ หรือมีชายหาดชายทะเลสวยๆ งามๆ ล้วนมีต่างชาติเข้ามาลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ รีสอร์ตหรู โรงแรมระดับ 4-5 ดาว สร้างเป็นอาณาจักร เป็นหมู่บ้าน ซื้อ-ขายกันในระหว่างชาวต่างประเทศด้วยกัน โดยผ่านทางสื่ออิเลกทรอนิกส์ หรืออินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ต่างๆ ทำกันมานานแล้ว กว่า 10 หรือ 20 ปี การลงทุนก็ทำในลักษณะดังกล่าวข้างต้น
 
ทั้งยังสร้างความระยำ ปิดหาด ปิดทางสาธารณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ และบริเวณใกล้เคียงใช้สัญจรมาหลายชั่วอายุคน ก่อกำแพง ขึงลวดหนามล้อมรอบ มี รปภ.เฝ้า แม้แต่สุนัขยังไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จนต้องมีการประท้วงแล้วประท้วงอีก เป็นข่าวอยู่หลายพื้นที่ เมื่อถูกบีบหนักเข้า ก็ยอมเปิดทางให้ แต่เหลือช่องทางแคบนิดเดียว รถเก็บขยะของท้องถิ่นแทบจะผ่านไม่ได้
 
นอกจากบริษัทนอมินี ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับบิ๊กในทำเลตากอากาศระดับสิบล้านขึ้นจนถึงร้อยล้านบาทขายในกลุ่มเศรษฐีพวกเดียวกัน หรือแม้กระทั่งลงทุนทำท่าเรือมารีน่าในภูเก็ตก็มีให้เห็น มิหนำซ้ำยังได้รับการอำนวยความสะดวกจากข้าราชการระดับสูงของจังหวัดภูเก็ตในขณะนั้น น่าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนคุ้มค่าเหมือนกัน ท่ามกลางความเจ็บปวดของชาวประมงพื้นบ้าน ผู้เพาะเลี้ยงหอยเป็นอาชีพมานานนับปี แถวสะปำ เกาะแก้ว ชานเมืองภูเก็ตนี่เอง
 
ทางราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะองค์กรปกครองท้องถิ่นต่างรู้ดี ถ้าโวย หรือเข้มงวด จะทำให้เสียบรรยากาศการลงทุน ทำลายการท่องเที่ยว เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ผู้บริหารระดับจังหวัด องค์กรท้องถิ่นต้องถือปฏิบัติ เลยต้องเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ปล่อยให้ต่างชาติมันกอบโกยกลับไปแต่ละปีมหาศาล
 
นี่แหละครับ นโยบายรัฐบาลไทย เปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามากอบโกย ซื้อขายได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งแผ่นดินเกิด!
 
เมื่อเดือนมิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง “การครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในไทยของชาวต่างชาติ” ศาสตราจารย์ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ปัจจุบันที่ดินในแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลหลักๆ ภูเก็ต พัทยา เกาะล้าน มีชาวต่างชาติมาถือครองลักษณะนอมินีแล้วไม่น้อยกว่า 90%
 
ต่อมา ประวิช รัตนเพียร ผู้ตรวจการแผ่นดินอีกคนหนึ่ง ก็ได้ให้สัมภาษณ์ย้ำเตือนอีกครั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ปีนี้เองว่า เคยเตือนสังคมมาหลายครั้งแล้ว ในเรื่องถือหุ้นแทนต่างชาติ หรือนอมินี เพราะเกรงว่าต่อไปคนไทยจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ถูกต่างชาติมาฮุบไปหมด โดยเฉพาะที่ดินแถบชายทะเลที่มีมูลค่าสูง และเกี่ยวพันกับธุรกิจการท่องเที่ยว ที่ทุกรัฐบาลให้การสนับสนุน หากเจ้าของที่ดินมีแต่คนต่างชาติ เราส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่าไหร่ ก็เท่ากับเป็นการสร้างความร่ำรวยให้แก่ชาวต่างชาติหมด คนไทยไม่เหลืออะไร ถ้ากระทรวงพาณิชย์ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง จะเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าผู้ตรวจการแผ่นดินจะเป็นองค์กรตรวจสอบ แต่ก็พร้อมทำหน้าที่สนับสนุนข้อมูลเพื่อให้การทำงานของรัฐบาลสำเร็จลุล่วงด้วยดี
 
แต่ก็ยังดีใจอยู่หน่อยที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดว่า คณะผู้ตรวจการแผ่นดินอยู่ระหว่าง ร่างกฎหมายคุ้มครองที่ดินของไทย ไม่ให้ตกเป็นของนอมินีต่างชาติ ที่มีสาระสำคัญในการให้รางวัลนำจับนอมินีที่เข้ามาถือครองที่ดินเป็นเงิน 20% ของมูลค่าทรัพย์สินนอมินี ที่ยึดมา และขายทอดตลาดออกไปได้
 
ทั้งจะออกบทลงโทษที่ชัดเจนขึ้น จากเดิมเมื่อพบว่า มีนอมินีเข้ามาถือครองที่ดิน จะแค่บังคับให้ชาวต่างชาติจำหน่ายที่ดินออกไปภายใน 180 วัน แต่ต่อไปจะให้มีบทลงโทษครอบคลุมถึงผู้เกี่ยวข้องที่ให้ความร่วมมือด้วย รวมทั้งหมด 3 กลุ่ม
 
กลุ่มแรก ชาวต่างชาติจะถูกยึดทรัพย์สินคืน และเนรเทศออกนอกประเทศ กลุ่มที่สอง ผู้ที่เป็นนอมินีให้ชาวต่างชาติจะถูกลงโทษ ทั้งในฐานะตัวการร่วม และผู้สนับสนุนการทำผิดทางอาญา และกลุ่มสุดท้าย ที่ปรึกษากฎหมาย จะถูกลงโทษในฐานะตัวการร่วมที่ชี้แนะช่องทางให้ชาวต่างชาติ
 
กฎหมายฉบับนี้ มีการคาดว่าจะผลักดันให้ออกมาใช้ได้ภายใน 2 ปี แต่ก็น่าเป็นห่วงว่าจะผ่านปากเหยี่ยวปากกา จนประกาศออกมาใช้ได้หรือไม่ เพราะนอมินีแต่ละตัวล้วนเป็นผู้มีอิทธิพล บางคนอาจจะนั่งอยู่ในสภาฯ หรือได้รับการสนับสนุนจากคนในสภาฯ น่ากังขาว่าจะรอดได้อย่างไร
 
ที่สำคัญเหลืออีก 2 ปี เราจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะต้องร่วมมือทางด้านการค้าการลงทุนกัน และรัฐบาลนี้ก็เป็นรัฐบาลนอมินี ครอบครัวเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ ฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้แค่ประท้วง วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม แล้วก็รับเบี้ยประชุม สิ้นเดือนรับเงินเดือนอีก ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่พ้นเผด็จการทรราช หลุดจากมือทหาร กลับมาจมปลักทุนนิยมอีก
 
น่ากลัวไหมครับ แผ่นดินไทยที่เป็นทำเลทองทางด้านการท่องเที่ยวที่ภูมิใจกันนักหนา กำลังจะถูกต่างชาติยึดครองโดยสมบูรณ์  ขณะนี้หมดไปแล้ว 90% เหลืออีก 10% เท่านั้นที่เป็นของคนไทย มันเป็นผลงานของรัฐบาลชุดนี้ หรือชุดไหน ไม่รู้เหมือนกัน ที่ปล่อยให้ตัวอัปรีย์จัญไรเอาแผ่นดินไทยไปขายให้ต่างชาติ

กำลังโหลดความคิดเห็น