xs
xsm
sm
md
lg

“ศาลากลางหลังใหม่” เอกลักษณ์อาณานิคมฝรั่งที่รุกราน “สนามชัยภูเก็ต” / ประเสริฐ เฟื่องฟู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัด
 
คอลัมน์  :  แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ  เฟื่องฟู
 
การเคลื่อนไหวคัดค้าน ต้านการก่อสร้างศาลากลางหลังใหม่ หลังที่ 3 บนพื้นที่ “สนามชัย” ของชาวจังหวัดภูเก็ต ที่มีความผูกพันกับลานอเนกประสงค์แห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน และต้องการอนุรักษ์ไว้เป็นพื้นที่สาธารณะให้ลูกหลาน และประชาชนทั่วไปได้ใช้ร่วมกันต่อไปในอนาคต ทั้งยังหวังให้เป็นปอดของชุมชนคนในเมืองที่มีพื้นที่สาธารณะเหลือน้อยเต็มที ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึง ณ วันนี้ เป็นเวลาหนึ่งเดือนโดยประมาณ
 
ครั้นเมื่อสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตเปิดประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา ได้มีสมาชิกตั้งข้อสอบถามถึงกรณีนี้ในที่ประชุม ปรากฏว่า “ไมตรี อินทุสุต” ผู้ว่าราชการจังหวัด อาสามาตอบข้อซักถามด้วยตนเอง โดยพกเอา “ประเจียด อักษรธรรมกุล” หัวหน้าสำนักงานจังหวัด และ “ธำรงค์ ทองตัน” ธนารักษ์พื้นที่ เป็นองครักษ์ซ้ายขวามาให้ข้อมูลต่อสภาฯ ด้วย
 
สำหรับข้อสอบถามทั้งหมดมี 3 ประเด็นหลักคือ ประเด็นแรก เกี่ยวกับสถานภาพของที่ดินสนามชัย ประเด็นที่สอง เกี่ยวข้องกับที่ตั้งของถนนสาธารณะประโยชน์ในบริเวณที่ดิน ส่วนประเด็นที่สาม เกี่ยวกับสถานภาพที่ดินที่ตั้งของสนามเทนนิส  โดยยื่นเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประธานสภาฯ เพื่อแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องคือ ทางจังหวัดทราบ และมาชี้แจงตอบข้อซักถาม
 
ส่วนเจ้าของข้อสอบถามนั้นมี 3 คนเช่นเดียวกันคือ สาโรจน์ อังคณาพิลาศ, ศักดิ์ชาย เชาว์ไวย์ และ บุญอุ้ม เอื้อจิตตระกูล เมื่อถึงระเบียบวาระ ปรากฏว่า มี “บุญอุ้ม” แต่เพียงผู้เดียวทำหน้าที่ซักถาม ส่วนอีกสองคนปรากฏว่า
 
“ละทิ้งหน้าที่ ไม่รับผิดชอบ ไม่เข้าประชุม”
 
เพราะฉะนั้น ชาวจังหวัดภูเก็ตเจ้าของคะแนนเสียงที่เลือก ส.อบจ. สองคนดังกล่าวเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ แทนท่านนั้น เมื่อเขาไม่ทำหน้าที่ที่ท่านมอบให้ ก็ให้เขียนชื่อไว้ที่ธรณีประตู เวลาเดินข้ามไปข้ามมาจะได้เห็น และเตือนความทรงจำ สมัยหน้าถ้าเขามายกมือไหว้ขอคะแนนเสียงอีกก็ให้ถามกลับไปว่า
 
“สมัยที่ผ่านมา มึงทำอะไรไว้กับสนามชัย มึงทำหน้าที่ปกป้องที่ดินที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้ชาวภูเก็ตใช้ร่วมกันยังไง ปล่อยให้ข้าราชการสถุลจากไหนไม่รู้ มาสร้างตึกทรงฝรั่งใหญ่โตบนสนามชัย ยังกับเป็นเมืองขึ้น หรืออาณานิคมของฝรั่ง แล้วยังหน้าด้านมาขอคะแนนเสียงอีกรึ?”
 
ทีนี้มาถึงการตอบข้อสอบถามของ “ไมตรี อินทุสุต” ผู้ว่าราชการจังหวัดคนปัจจุบันนั้น ปรากฏว่า เป็นการมาแสดงวิสัยทัศน์ให้เห็นถึงความเป็นคนปากหวานก้นเปรี้ยว ลักษณะของนักการเมืองน้ำเน่าไม่ผิดเพี้ยน และการมาปกครองเมืองภูเก็ตก็พูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่า รัฐบาลส่งมาเพื่อให้เปลี่ยนแปลงภูเก็ต ถ้าไม่เปลี่ยนคนอื่นก็จะมาเปลี่ยน โดยการย้ำอยากหนักแน่นว่า
 
“ภูเก็ตต้องเปลี่ยนแปลง และที่ผมมานี้ก็มาเพื่อการเปลี่ยนแปลง มาตามคำสั่งรัฐบาล ให้มาเปลี่ยนแปลงภูเก็ต การสร้างศาลากลางหลังใหม่บนสนามชัย เป็นความเห็นชอบของคณะกรรมการจัดผังที่ราชการเป็นผู้เลือกผู้ชี้เป้า ต้องเลือกโซนนี้ และตรงนี้ตั้งแต่ก่อนตุลาคม ปี 55 ว่า เป็นสถานที่เหมาะสม คณะรัฐมนตรีก็มีมติเห็นชอบ เขาบีบมาหมดแล้ว ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส 5 ชั้น ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ตรงบริเวณสนามเทนนิสปัจจุบัน ส่วนสนามชัยยังเหมือนเดิม ประชาชนยังใช้ได้เหมือนเดิม และจะปูพื้นหญ้าให้ดี ส่วนใต้สนามชัยจะขุดลึก 4 เมตรเป็นที่จอดรถยนต์ได้ 194 คัน”
 
ในการตอบข้อสอบถามในสภาฯ วันนั้น ดูผู้ว่าฯ คนนี้จะเป็นปลื้มกับศาลากลางหลังนี้เอามากๆ แล้วก็ยังยืนยันชัดถ้อยชัดคำว่า “สนามชัย” ประชาชนยังใช้ได้เหมือนเดิม แต่ข้างล่างถูกขุดเป็นโพรงทำเป็นที่จอดรถยนต์ใต้ดิน จะใช้เทคโนโลยีอย่างไรก็ตาม ก็ป้องกันการก่อวินาศกรรม การก่อการร้ายไม่ได้ ทั้งแท่งคอนกรีตชิโนโปรตุกีส 5 ชั้นใหญ่ที่สุดในโลก ถ้ามีการประท้วงบุกเผาเหมือนทางภาคอีสาน หรือวางระเบิดเหมือนสามจังหวัดชายแดนใต้ รอบสนามชัยก็ต้องมีลวดหนามขวางกั้น พวกหมาตาเหลืองทาสรับใช้ก็ถือปืนยืนจังก้า แม้แต่สุนัขก็คงจะเข้าไปเพ่นพ่านไม่ได้
 
หรือผู้ว่าฯ คนนี้จะปฏิเสธว่า “ไม่มี เป็นไปไม่ได้” ทั้งๆ ที่ทั่วโลกเกือบทุกประเทศประสบมาแล้ว แม้ประเทศไทยบ้านเราเองก็เกิดมานับครั้งไม่ถ้วน และก็ปลื้มจริงๆ ปลื้มกับความเป็นชิโนโปรตุกีส จะพยายามเปลี่ยนภูเก็ตให้เป็นอาณานิคมของฝรั่งในยุคนี้ พ.ศ.นี้ให้ได้ คณะกรรมการจัดผังที่ตั้งศูนย์ราชการแต่ละจังหวัดมีคนในพื้นที่ร่วมด้วยหรือไม่ และได้สอบถามคนในพื้นที่ที่เป็นคนจังหวัดภูเก็ตชัดเจนหรือยัง เหล่านี้ล้วนเป็นข้อสงสัยของผู้ที่มีความผูกพันกับสนามชัยแห่งนี้
 
ต้องไม่ลืมประวัติศาสตร์จลาจลแทนทาลัมที่ภูเก็ต ถ้าผู้ว่าฯ คนนี้ไม่รู้ ไม่ได้ศึกษามา ก็วานผู้รู้ช่วยเล่าให้ฟังที ไม่ได้ขู่ สิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกในยุคนี้ก็อาจจะกลับมาเกิดได้อีก แล้วการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาวันละเป็นหมื่น เดือนละเป็นแสนก็จะหายวับไปกับตา ผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจะยอมฉิบหายกับข้าราชการขี้ข้านักการเมืองทรราชกลุ่มนี้หรือ?
 
ตัวเมืองภูเก็ตแออัด คับแคบ เห็นกันโทนโท่ รัฐบาลที่ผ่านมาทุกสมัยมอบนโยบายให้ขยายเมืองออกไปรอบนอกทุกจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้าใหญ่ หรือแม้กระทั่งส่วนราชการระดับกองบัญชาการ กองบังคับการ ศูนย์อำนวยการ อย่างศาลากลางจังหวัดควรขยับออกนอกเมือง มีรั้วรอบขอบชิด มีกำลัง รปภ.ที่เข้มงวด ไม่ใช่มากระจุกอยู่ในเมืองที่มีการจราจรคับคั่ง ประชาชนอยู่กันอย่างหนาแน่น ยากต่อการป้องกัน และแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ประชาชนผู้บริสุทธิ์อาจได้รับอันตราย
 
การยืนยันต้องสร้างศาลากลางหลังใหม่ เอกลักษณ์อาณานิคมฝรั่งหลังที่ 3 นี้ให้ได้ ประเจียด อักษรธรรมกุล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดภูเก็ต ได้ตอบชี้แจงว่า เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี ที่คณะกรรมการจัดทำผังศูนย์ราชการจากส่วนกลาง (น่าจะไม่มีคนพื้นที่รู้เห็น) เสนอ โดยบังคับต้องอยู่ในโซนนี้ และตรงนี้ ทั้งไม่ต้องผ่านการพิจารณาคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ให้ทำต่อไปได้เลยโดยไม่ต้องดูผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือทำ EIA ตามประกาศ สผ.ปี 53 ข้อ 18 เพราะได้ทำมาก่อนแล้ว รายละเอียดไม่มี เอากันแค่สั้นๆ คนไม่รู้ก็ไม่รู้ต่อไป
 
เอกสารสิทธิที่ดินที่เป็นปัญหาด้งกล่าว
 
ข้อที่น่ากังขาคือ บริเวณที่ดินแขวงการทางที่กำลังจะย้ายออกไปมีร่วม 20 ไร่ อยู่ในโซนศูนย์ราชการหลัก โซนเดียวกับศาลากลางเก่า ที่ผู้ว่าฯ เรียกศาลากลางร้อยปีเหมือนกัน พื้นที่กว้าง ลานจอดรถจะลงใต้ดิน ขึ้นบนอาคาร และห้องประชุมจะสร้างใหญ่แค่ไหน อาคารชิโนโปรตุกีสที่เป็นปลื้มจะสร้างกี่ชั้นก็สร้างได้ จะเป็นโอเป-ราอะไรอย่างที่ผู้ว่าฯ จ้อยังไงก็ได้ แต่กลับทำไม่ได้ ไม่อาจย้ายไปสร้างที่อื่นได้
 
ส่วน “ดำรงค์ ทองตัน” ธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตน่าจะเป็นเด็กภูเก็ต นามสกุลทองตันคงจะเป็นลูกหลาน “หลวงเสือ” ต้นตระกูลผู้สร้างเมืองภูเก็ตคนหนึ่ง บอกว่า ที่ดินสนามชัยที่จะสร้างศาลากลางชิโนโปรตุกีสนั้น เป็นที่หลวงอยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย ได้มีการสำรวจขึ้นทะเบียนของกรมธนารักษ์แล้ว เอากันสั้นๆ แค่นี้เหมือนกัน
 
อยากรู้ต้นตระกูลจะสาปแช่งยังไง ที่ไปรวมหัวกันทำลายสมบัติบรรพบุรุษ
 
ทีนี้มาดูทางด้าน “รังสรรค์ คงทอง” อดีต ส.อบจ.หนึ่งในแกนนำผู้คัดค้านได้ออกมาเปิดเผยว่า จังหวัดภูเก็ตยังคงดันทุรังเดินหน้าจะก่อสร้างศาลากลางบนสนามเทนนิส บริเวณเดียวกับสนามชัยแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง และเมื่อบ่ายวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา  ยังมีการเรียกประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดเตรียมพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างที่ห้องประชุมชั้น 1 ศาลากลางจังหวัด โดยยืนยันจะมีการก่อสร้างในสถานที่กำหนดเดิมคือ บริเวณสนามเทนนิส สนามชัย ตามมติของคณะอนุกรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานในกรุงเทพฯ และเมืองหลัก เมื่อวันที่  31 มกราคม 2555 โดยไม่ต้องฟังเสียงคัดค้านของประชาชนในพื้นที่
 
นอกจากนั้น รังสรรค์ คงทอง ยังชี้ให้เห็นพิรุธของเอกสารสิทธิที่ดินสนามเทนนิสที่จะใช้เป็นที่ตั้งศาลากลางชิโนโปรตุกีส 5 ชั้นนี้อีกว่า เดิมมีการรังวัด และออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 8477 เลขที่ดิน 797 หน้าสำรวจ 1097 ตำบลตลาดใหญ่ (สั้นใน) อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่  4 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา ให้แก่สมาคมสโมสรจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2509 โดยระบุไว้ในเอกสารของกรมที่ดินเพื่อออกโฉนดว่า “ที่ดินแปลงนี้มิได้เป็นที่หลวงหวงห้าม หรือที่สาธารณประโยชน์”
 
แต่ทางด้าน ดำรงค์ ทองตัน ธนารักษ์พื้นที่ได้ตอบชี้แจงว่า “มีการขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสุดุเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2556” แล้ว ตามคำร้องขอของ จำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต ซึ่งมีหนังสือไปยังธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตขอให้ขึ้นทะเบียนที่ดินบริเวณสนามเทนนิส และสนามชัยให้เป็นที่ราชพัสดุเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2556 รวมเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวา โดยอ้างว่า กระทรวงมหาดไทยได้ครอบครองที่ดินสนามชัย และสนามเทนนิสมาตั้งแต่ ปี 2450 (สมัยรัชกาลที่ 5) เป็นการค้านกับเอกสารสิทธิของที่ดินจังหวัด
 
นอกจากนี้ ในวันประชุมสภา อบจ.เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และธนารักษ์พื้นที่ได้ร่วมกันชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า ที่ดินสนามชัย และสนามเทนนิสเป็นที่ราชพัสดุ โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสนามชัยปรากฏข้อเท็จจริงทั้งในระวางศูนย์กำเนิด และระวางยูทีเอ็ม.ระบุว่า “เป็นที่ครอบครอง” และประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน
 
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็แสดงว่าที่ดินแปลงนี้มีผู้ถือกรรมสิทธิ์สองรายด้วยกันคือ กรมที่ดิน กับกรมธนารักษ์ ถือเป็นข้อพิรุธที่เกิดการออกเอกสารสิทธิของทางราชการทับซ้อนกัน โดยยังไม่มีการยกเลิกเพิกถอนโฉนดที่ดิน และไม่มีการยกเลิกเพิกถอนถนนสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งท้ายสุดจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติด้วยการยกร่าง และนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาสามวาระ
 
รังสรรค์ คงทอง ยังเผยต่อไปว่า แนวทางในการต่อสู้คัดค้านขั้นตอนต่อไปก็ต้องปรับแผนยกระดับขึ้นอีก จากที่ประชุมของแกนนำตกลงให้รวบรวมเอกสาร และพยานหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดภูเก็ตหลังที่ 3 ในครั้งนี้ มีทั้งกรณีของการจัดทำแผนผังแสดงตำแหน่งของอาคารที่จะก่อสร้างคร่อม และทับถนนสาธารณประโยชน์ ระหว่างสนามชัยกับสนามเทนนิส ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 รวมทั้งเอกสารสิทธิที่ดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นเวลานานหลายสิบปีจนถึงปัจจุบัน ไม่เป็นที่ราชพัสดุ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) “ทรัพย์สินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน” รวมทั้งประเด็นเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ร้องต่อศาล เพื่อให้วินิจฉัยการกระทำของผู้มีอำนาจในจังหวัดภูเก็ตที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างศาลากลางหลังที่ 3 ทุกคนในเร็วๆ นี้
 
เป็นอันว่าการคัดค้านการก่อสร้างศาลากลางชิโนโปรตุกีส หลังที่ 3 นี้ สุดท้ายก็ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ระงับโครงการก่อสร้างค่อนข้างแน่นอน เพราะข้าราชกลุ่มนี้มีพฤติกรรมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเกี่ยวกับเอกสารสิทธิที่ดิน และไม่ยอมรับฟังสียงท้วงติงจากประชาชนในพื้นที่ อันจะก่อให้เกิดความแตกแยกในอนาคต แทนที่จะสามัคคีกลมเกลียวตามที่ผู้ว่าฯ พูด และต้องการ
 
การอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเป็นนโยบายของ “ไอ้หน้าเหลี่ยม” สัมภเวสีไร้แผ่นดิน แต่ผู้ว่าฯ คนนี้มาตอกย้ำ “ภูเก็ตต้องเปลี่ยนแปลง” แม้กระทั่งสนามชัย สนามประวัติศาสตร์ก็ต้องเอาตึกสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส สัญลักษณ์อาณานิคมฝรั่งมาตั้งเคียงคู่ อ้างเป็นมติของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเลือกให้มาใช้โซนนี้ เป็นความต้องการของรัฐบาล และยังย้ำว่า
 
อนาคตจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของภูเก็ต ต้องติดตาม
 
ความอัศจรรย์ที่เห็นมาแล้วในรัฐบาลชุดนี้ก็คือ โครงการสร้างศูนย์ประชุมนานาชาติภูเก็ต ที่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว และอีกหลายๆ ธุรกิจในภูเก็ตต่างใฝ่ฝันอยากให้เกิดมาเป็นสิบปีแล้ว เกี่ยงกันแค่สถานที่ตั้ง และในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลกำลังเดินหน้าไปได้สวย งบประมาณก็ผ่านตามขั้นตอนมาวางอยู่ตรงหน้า พอคณะรัฐมนตรี “ปูแดง” ชุดนี้ระเหเร่ร่อนมาภูเก็ตก็เกิดอาเพศ มี “เหี้ย” ลอยอืดที่คลองเกาะผี หรือเกาะกุย (ชื่อเดิม) หลังจากนั้น ศูนย์ประชุมนานาชาติเกิดสะดุดตอแท้งตายพ้น งบประมาณโดนยึดกลับ และยังถูกตอกย้ำเยาะเย้ยจากรัฐมนตรีสากกระเบือประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอย่างสุดเจ็บปวด
 
“รัฐบาลชุดที่แล้วทำไม่สำเร็จเองนี่”
 
และเห็นที ส.ส.ภูเก็ตสมัยหน้า ผู้ว่าฯ คนนี้ ก็ต้องปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งให้เปลี่ยนแปลงด้วยแน่นอน เพราะพูดในสภาจังหวัดเองว่า ที่รัฐบาลส่งเขามาก็เพื่อให้มาเปลี่ยนแปลงภูเก็ต ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็อัศจรรย์จริงๆ และเป็นปาฏิหาริย์ด้วย
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น