ปัตตานี - ผู้ว่าฯ ปัตตานี เป็นประธาน “ประชุมวิชาการเผยแพร่การใช้ประโยชน์การวิจัย” ผนึกกำลัง สกว. ศธ. สสค. และ ศอ.บต.ใช้งานวิจัยพัฒนาการศึกษาเพื่อชายแดนใต้
วันนี้ (23 มี.ค.) ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี นายประมุข ลมุล ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นประธาน “ประชุมวิชาการเผยแพร่การใช้ประโยชน์การวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยมี ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาสถาบันรามจิตติ หัวหน้าทีมประสานโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาชน และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวรายงาน
โครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นการต่อยอดโครงการวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ สกว. ที่เสร็จโครงการในปี พ.ศ.2549 ซึ่งได้ทั้งตัวแบบการเรียนรู้ที่บูรณาการทั้งการเรียนสายศาสนา สายสามัญ และสายอาชีพ รวมทั้งเครือข่ายโรงเรียนที่ร่วมโครงการอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งได้กลายเป็นกรอบคิดในการพัฒนาโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่มีการลงนามในช่วงปลายปี พ.ศ.2550 พร้อมจัดตั้งสำนักงานบริหารโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยมีสถาบันรามจิตติ เป็นทีมประสานโครงการความร่วมมือดังกล่าว โดยใช้ยุทธศาสตร์การวิจัยเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงภายใต้โจทย์หลักสำคัญใน 6 มิติ ได้แก่ ด้านการศึกษาเพื่อการมีงานทำ ด้านคุณภาพการศึกษา ด้านพหุวัฒนธรรมศึกษา ด้านสื่อเพื่อการเรียนรู้ ด้านนโยบายและการบริหารการศึกษา และด้านเด็กด้อยโอกาสและพื้นที่ที่มีความต้องการพิเศษ
มีกระบวนการสนับสนุนการทำงานวิจัยส่วนใหญ่เน้นกระบวนการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมที่หวังผลเป็นรูปธรรมต่อการแก้ปัญหาวิกฤตในพื้นที่ เช่น การอ่านออกเขียนได้ ประเด็นการแก้ปัญหาการไม่มีงานทำ ประเด็นพหุวัฒนธรรมและศาสนาเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและสันติภาพ ประเด็นเรื่องโอกาสทางการเรียนรู้สำหรับเด็กในระบบ และนอกระบบโดยมีจำนวนชุดโครงการ/โครงการรวมมากกว่า 20 โครงการในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการขับเคลื่อนโจทย์วิจัยที่มีผลกระทบสูง
การประชุมวันนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำงานวิจัยปฏิบัติการที่มีผลกระทบสูงมานำเสนอสู่สาธารณะ เพื่อร่วมกันสร้างความเข้าใจ และความตระหนักต่อทิศทางและรูปแบบการจัดการศึกษาและการพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ พร้อมกับร่วมกันมองไปสู่อนาคตถึงการขยายผลรูปแบบการจัดการศึกษาทั้งด้านศาสนา สามัญและการศึกษาเพื่อการมีงานทำให้สามารถกระจายตัวก่อประโยชน์ต่อพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มากยิ่งๆ ขึ้นไป ในงานจะมีการเสวนาร่วมระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิด้านยุทธศาสตร์ และการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงการเสวนาถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของภาคีเครือข่ายวิจัยในการทำงานและการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ต่อ
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมฉายหนังสารคดีจากฝีมือยุววิจัยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแสดงจากเครือข่ายเยาวชนอีกด้วยผู้เข้าร่วมการประชุมวันนี้ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารโครงการความร่วมมือ หัวหน้าโครงการวิจัย นักวิจัย เครือข่ายโรงเรียนวิจัยทั้งโรงเรียนของรัฐ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เครือข่ายชุมชนท้องถิ่นที่เป็นพื้นที่วิจัย ตลอดจนเครือข่ายเยาวชนและยุววิจัย รวมทั้งตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน รวมทั้งสิ้นประมาณ 150 คน
วันนี้ (23 มี.ค.) ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี นายประมุข ลมุล ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นประธาน “ประชุมวิชาการเผยแพร่การใช้ประโยชน์การวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยมี ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาสถาบันรามจิตติ หัวหน้าทีมประสานโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาชน และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวรายงาน
โครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นการต่อยอดโครงการวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ สกว. ที่เสร็จโครงการในปี พ.ศ.2549 ซึ่งได้ทั้งตัวแบบการเรียนรู้ที่บูรณาการทั้งการเรียนสายศาสนา สายสามัญ และสายอาชีพ รวมทั้งเครือข่ายโรงเรียนที่ร่วมโครงการอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งได้กลายเป็นกรอบคิดในการพัฒนาโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่มีการลงนามในช่วงปลายปี พ.ศ.2550 พร้อมจัดตั้งสำนักงานบริหารโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยมีสถาบันรามจิตติ เป็นทีมประสานโครงการความร่วมมือดังกล่าว โดยใช้ยุทธศาสตร์การวิจัยเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงภายใต้โจทย์หลักสำคัญใน 6 มิติ ได้แก่ ด้านการศึกษาเพื่อการมีงานทำ ด้านคุณภาพการศึกษา ด้านพหุวัฒนธรรมศึกษา ด้านสื่อเพื่อการเรียนรู้ ด้านนโยบายและการบริหารการศึกษา และด้านเด็กด้อยโอกาสและพื้นที่ที่มีความต้องการพิเศษ
มีกระบวนการสนับสนุนการทำงานวิจัยส่วนใหญ่เน้นกระบวนการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมที่หวังผลเป็นรูปธรรมต่อการแก้ปัญหาวิกฤตในพื้นที่ เช่น การอ่านออกเขียนได้ ประเด็นการแก้ปัญหาการไม่มีงานทำ ประเด็นพหุวัฒนธรรมและศาสนาเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและสันติภาพ ประเด็นเรื่องโอกาสทางการเรียนรู้สำหรับเด็กในระบบ และนอกระบบโดยมีจำนวนชุดโครงการ/โครงการรวมมากกว่า 20 โครงการในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการขับเคลื่อนโจทย์วิจัยที่มีผลกระทบสูง
การประชุมวันนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำงานวิจัยปฏิบัติการที่มีผลกระทบสูงมานำเสนอสู่สาธารณะ เพื่อร่วมกันสร้างความเข้าใจ และความตระหนักต่อทิศทางและรูปแบบการจัดการศึกษาและการพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ พร้อมกับร่วมกันมองไปสู่อนาคตถึงการขยายผลรูปแบบการจัดการศึกษาทั้งด้านศาสนา สามัญและการศึกษาเพื่อการมีงานทำให้สามารถกระจายตัวก่อประโยชน์ต่อพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มากยิ่งๆ ขึ้นไป ในงานจะมีการเสวนาร่วมระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิด้านยุทธศาสตร์ และการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงการเสวนาถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของภาคีเครือข่ายวิจัยในการทำงานและการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ต่อ
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมฉายหนังสารคดีจากฝีมือยุววิจัยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแสดงจากเครือข่ายเยาวชนอีกด้วยผู้เข้าร่วมการประชุมวันนี้ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารโครงการความร่วมมือ หัวหน้าโครงการวิจัย นักวิจัย เครือข่ายโรงเรียนวิจัยทั้งโรงเรียนของรัฐ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เครือข่ายชุมชนท้องถิ่นที่เป็นพื้นที่วิจัย ตลอดจนเครือข่ายเยาวชนและยุววิจัย รวมทั้งตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน รวมทั้งสิ้นประมาณ 150 คน