ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ผู้เฒ่าวัย 79 ปี ชาวบ้าน จ.กระบี่ สุดงง หลังถูกเจ้าหน้าที่นำหมายศาลบุกจับกุมถึงบ้านพักในคดีลักทรัพย์ที่ อ.หาดใหญ่ ทั้งที่ตนเดินแทบไม่ไหว และไม่เคยมาหาดใหญ่แม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต ยืนกรานเป็นการจับผิดตัว ด้าน ตร.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้ (12 มี.ค.) นายนู คลังเจ็ด อายุ 79 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 ม.4 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พร้อมด้วย นายสงคราม คลังเจ็ด บุตรชาย และนายมงคล หวานนิมิตร ทนายความ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.หญิง ภัทรียา ปานนิ่ม สารวัตรสอบสวน สภ.หาดใหญ่ เพื่อให้ปากคำ หลังตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดสงขลา ออกหมายจับ ที่ 278/2554 ลงวันที่ 23 พ.ค.2554 ในคดีลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคล หรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2553 ที่บ้านเลขที่ 133 ซอย 2 ถนนประชาอุทิศ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมี น.ส.ปุทนิกา ไกรแก้ว เป็นผู้เสียหาย
ต่อมา เมื่อวันที่ 1 มี.ค.56 นายนู คลังเจ็ด อายุ 79 ปี ได้ถูกชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.สงขลา เข้าจับกุมที่บ้านพักใน จ.กระบี่ หลังกลับจากปฏิบัติศาสนกิจที่มัสยิด และถึงกับงงหลังจากที่ชุดสืบสวนภูธร จ. สงขลา แจ้งข้อหาในเบื้องต้น ทั้งนี้ นายนูได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากในช่วงเวลาเกิดเหตุอยู่ที่ จ.กระบี่ รวมถึงญาติๆ และเพื่อนบ้านต่างไม่เชื่อว่าจะเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ เนื่องจากในชีวิตไม่เคยเดินทางมา อ.หาดใหญ่ แม้แต่ครั้งเดียว รวมทั้งเดินเหินก็ไม่สะดวก ทั้งยังต้องใช้ไม้เท้าประคองตัว และเชื่อว่าน่าจะจับผิดตัวมากกว่า
ขณะที่ชุดสืบสวนฯ ยืนยันว่า เป็นการจับกุมตัวตามหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวน สภ.หาดใหญ่ และเจ้าหน้าที่วิทยาการได้เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมเก็บลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายไว้เป็นหลักฐาน เพื่อนำไปพิสูจน์ และผลออกมาตรงกับลายนิ้วมือของ นายนู คลังเจ็ด จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับ
ด้าน พ.ต.ท.หญิง ภัทรียา ปานนิ่ม เจ้าของคดี เปิดเผยว่า คดีนี้ได้ดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใคร จึงได้นัดให้ผู้ต้องหา และญาติมา เพื่อนำเอกสารทางด้านการแพทย์มายืนยันประกอบสำนวน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป และเท่าที่สังเกต นายนู น่าจะไม่ใช่คนร้ายตัวจริง ซึ่งจะได้ดำเนินการส่งเรื่องให้ทางเจ้าหน้าที่วิทยาการตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งหนึ่งว่าโอกาสผิดพลาดมีมากน้อยเพียงใด แต่ที่ตรวจสอบพบลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายตรงกับนายนู เป็นไปได้ว่านายนูเคยต้องคดีมีไม้ต้องห้ามไว้ในครอบครองเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว และศาลได้ยกฟ้องเพราะไม่มีเจตนา เลยทำให้มีประวัติอยู่
ทางด้าน นายนู ได้ยืนกรานปฏิเสธ โดยยืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เนื่องจากในชีวิตยังไม่เคยมา อ.หาดใหญ่ แต่เมื่อได้มาพบกับพนักงานสอบสวน และได้รับฟังคำอธิบายแล้วก็รู้สึกสบายใจที่ยังได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ที่จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง
วันนี้ (12 มี.ค.) นายนู คลังเจ็ด อายุ 79 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 ม.4 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พร้อมด้วย นายสงคราม คลังเจ็ด บุตรชาย และนายมงคล หวานนิมิตร ทนายความ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.หญิง ภัทรียา ปานนิ่ม สารวัตรสอบสวน สภ.หาดใหญ่ เพื่อให้ปากคำ หลังตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดสงขลา ออกหมายจับ ที่ 278/2554 ลงวันที่ 23 พ.ค.2554 ในคดีลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคล หรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2553 ที่บ้านเลขที่ 133 ซอย 2 ถนนประชาอุทิศ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมี น.ส.ปุทนิกา ไกรแก้ว เป็นผู้เสียหาย
ต่อมา เมื่อวันที่ 1 มี.ค.56 นายนู คลังเจ็ด อายุ 79 ปี ได้ถูกชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.สงขลา เข้าจับกุมที่บ้านพักใน จ.กระบี่ หลังกลับจากปฏิบัติศาสนกิจที่มัสยิด และถึงกับงงหลังจากที่ชุดสืบสวนภูธร จ. สงขลา แจ้งข้อหาในเบื้องต้น ทั้งนี้ นายนูได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากในช่วงเวลาเกิดเหตุอยู่ที่ จ.กระบี่ รวมถึงญาติๆ และเพื่อนบ้านต่างไม่เชื่อว่าจะเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ เนื่องจากในชีวิตไม่เคยเดินทางมา อ.หาดใหญ่ แม้แต่ครั้งเดียว รวมทั้งเดินเหินก็ไม่สะดวก ทั้งยังต้องใช้ไม้เท้าประคองตัว และเชื่อว่าน่าจะจับผิดตัวมากกว่า
ขณะที่ชุดสืบสวนฯ ยืนยันว่า เป็นการจับกุมตัวตามหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวน สภ.หาดใหญ่ และเจ้าหน้าที่วิทยาการได้เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมเก็บลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายไว้เป็นหลักฐาน เพื่อนำไปพิสูจน์ และผลออกมาตรงกับลายนิ้วมือของ นายนู คลังเจ็ด จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับ
ด้าน พ.ต.ท.หญิง ภัทรียา ปานนิ่ม เจ้าของคดี เปิดเผยว่า คดีนี้ได้ดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใคร จึงได้นัดให้ผู้ต้องหา และญาติมา เพื่อนำเอกสารทางด้านการแพทย์มายืนยันประกอบสำนวน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป และเท่าที่สังเกต นายนู น่าจะไม่ใช่คนร้ายตัวจริง ซึ่งจะได้ดำเนินการส่งเรื่องให้ทางเจ้าหน้าที่วิทยาการตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งหนึ่งว่าโอกาสผิดพลาดมีมากน้อยเพียงใด แต่ที่ตรวจสอบพบลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายตรงกับนายนู เป็นไปได้ว่านายนูเคยต้องคดีมีไม้ต้องห้ามไว้ในครอบครองเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว และศาลได้ยกฟ้องเพราะไม่มีเจตนา เลยทำให้มีประวัติอยู่
ทางด้าน นายนู ได้ยืนกรานปฏิเสธ โดยยืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เนื่องจากในชีวิตยังไม่เคยมา อ.หาดใหญ่ แต่เมื่อได้มาพบกับพนักงานสอบสวน และได้รับฟังคำอธิบายแล้วก็รู้สึกสบายใจที่ยังได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ที่จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง