คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
การออกมาเคลื่อนไหวผ่าน “จอแก้ว” ทางฟรีทีวีช่องหนึ่งของ “คัสตูรี มะห์โกตา” ซึ่งหน่วยงานข่าวกรอง หน่วยงานความมั่นคง รวมถึงคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างรู้จักมักคุ้นชื่อนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ออกแถลงการณ์ในนามตัวแทน “ขบวนการพูโล” มาตลอด ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแถลงการณ์ส่วนใหญ่คือ ขอเป็น “คนกลาง” เจรจากับตัวแทนรัฐบาลไทย ในการยุติการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในขณะที่หน่วยงานความมั่นคงตั้งแต่ของกองทัพ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ ต่างระบุตรงกันว่า ขบวนการพูโลที่มีนายคัสตูรี มะห์โกตา เป็นประธานอยู่นั้น เป็น “ของปลอม” ไม่ได้มีศักยภาพในการก่อการร้าย ไม่มีกองกำลังติดอาวุธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้น จึงไม่ได้ให้ “น้ำหนัก” กับการเคลื่อนไหวของนายคัสตูรี เพียงแต่มี “สายข่าว” หลายคนของหน่วยงานรัฐที่ยังติดต่อประสานสัมพันธ์กับนายคัสตูรี เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกดินแดน และบุคคลในขบวนการที่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศที่สาม
และเป็นที่รู้กันว่า ความไม่สงบ ณ คาบนี้ของแผ่นดินปลายด้ามขวาน ที่ความรุนแรงตามแผนบันได 7 ขั้นเริ่มตั้งแต่การเผาโรงเรียน 36 โรงเมื่อปี 2536 เป็นต้นมา รวมทั้งการปล้นปืนของกองพลพัฒนาที่ 4 ที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อปี 2547 นั้น เป็นฝีมือของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น โคออดิเนต” และตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีตัวแทนของบีอาร์เอ็นฯ ออกมา “ต่อรอง” หรือ “ขอเจรจา” กับหน่วยงานของรัฐไทยแต่อย่างใด แต่บีอาร์เอ็นฯ ก็ไม่เคยปฏิเสธว่า การก่อความไม่สงบที่ผ่านมา ไม่ใช่ฝีมือของบีอาร์เอ็นฯ ที่น่าสนใจคือ บีอาร์เอ็นฯ ปฏิเสธกับ “คนวงใน” มาโดยตลอดว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการพูโล ในขณะที่นายคัสตูรีพยายาม “ตีขลุม” ออกแถลงการณ์มาโดยตลอดว่า พูโลมีส่วนในการก่อความไม่สงบ และเป็นส่วนหนึ่งของบีอาร์เอ็นฯ
เช่นเดียวกับที่นายคัสตูรีได้ออกอากาศในรายการฟรีทีวีของประเทศไทย เพื่อแถลงข่าวให้ประเทศไทย และประเทศต่างๆ รับรู้ว่า พูโลเป็นหนึ่งใน “หุ้นส่วน” ของการก่อการร้าย และการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีศักยภาพในการเป็นตัวแทนของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ เพื่อเปิดพื้นที่ “พูดคุย” บนเวที “สันติภาพ” ที่มีประเทศที่เป็นกลางเป็น “เจ้าภาพ”
ข้อเสนอของนายคัสตูรีแห่งขบวนการพูโลยังเปิดช่องทางว่า นอกจากเรียกร้อง “เอกราชปัตตานี” แล้ว ยังพร้อมที่จะรับข้อเสนอของรัฐไทย เช่น “เขตปกครองพิเศษ” หรือการ “กระจายอำนาจ” หรือ “นครปัตตานี” หมายความว่า พูโลพร้อมที่จะ “ยืดหยุ่น” กับข้อเสนอของรัฐบาลไทย โดยนายคัสตูรีพร้อมที่จะเป็น “ตัวแทน” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพื่อเปิดเวทีพูดคุย “สันติภาพ” ตามนโยบายของรัฐบาล
ถ้าจะให้วิเคราะห์ถึงความเคลื่อนไหวของนายคัสตูรี ณ คาบนี้ ก็ “ฟันธง” ได้เลยว่า นายคัสตูรีแห่งขบวนการพูโลได้ฉกฉวยโอกาสที่ “รัฐบาล” และ “กองทัพ” ได้ออกมาเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ในเรื่องของการเปิดพื้นที่พูดคุย เพื่อลดความขัดแย้งกับผู้ที่เห็นต่าง และใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งในมาตราที่ 21 เป็นช่องทางให้กลุ่ม “ผู้หลงผิด” ได้อาศัย “ฟอกตัว” ให้เป็นผู้ไม่ต้องรับโทษทางอาญา และอดีต “ขจก.” ที่ยังมีคดีความมั่นคงติดตัวอยู่ ทั้งที่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และในประเทศที่สาม เป็นอดีต “แนวร่วม” ของขบวนการพูโลและอื่นๆ จำนวนไม่น้อย
ดังนั้น ในการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อใช้ช่องทางของ ม.21 ในการนำคนหลงผิดกลับบ้าน อานิสงส์นี้จะตกอยู่กับ “แนวร่วม” ของขบวนการพูโล และอีกหลายขบวนการที่เป็น “อดีต” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งจะได้ถือโอกาส “โหน” ม.21 ของ พ.ร.บ.ความมั่นคงฟอกตัวให้พ้นผิด และเดินทางกลับมายังบ้านเกิดได้โดยไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป และอาจจะมีผู้ประสานงานของขบวนการพูโลที่จะได้ดิบได้ดีกับการนำอดีต “ขจก.” ที่ขณะนี้ได้รับการขนานนามใหม่ว่า “ผู้หลงผิด” กลับบ้าน
การออกมาเคลื่อนไหวของนายคัสตูรี จึงเป็นการ “สร้างราคา” ให้แก่ตนเอง และชุบชีวิตของขบวนการพูโลที่ “ตายซาก” ไปแล้ว ให้ “คืนชีพ” อีกครั้งหนึ่ง โดยการ “โหน” ยุทธศาสตร์การเปิดเวทีพูดคุยกับ “ผู้ที่เห็นต่าง” รวมทั้งการที่รัฐบาลมีแนวทางในการเปิดพื้นที่พูดคุยกับ “แกนนำ” ในประเทศที่ 3 โดยขอให้รัฐบาลมาเลเซีย รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด เป็นคนกลาง ซึ่งในประเทศมาเลเซียเป็นที่รู้กันว่า เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของ “แกนนำ” หลายกลุ่มของขบวนการแบ่งแยกดินแดน แม้แต่องค์กรที่ชื่อ “เบอร์ซาตู” ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์รวมของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในยุคเก่า ก็มีที่ตั้งและมี “ตัวแทน” อยู่ที่ประเทศมาเลเซียเช่นกัน
แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ การออกมาเคลื่อนไหวด้วยการออกฟรีทีวีในประเทศไทยของนายคัสตูรีในครั้งนี้ อาจจะเป็นการ “วางยา” ของหน่วยงานบางหน่วยที่ “เห็นต่าง” กับแนวคิดการเปิดพื้นที่พูดคุย และการให้ผู้นำจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเป็น “เจ้าภาพ” ในการเปิดพื้นที่ “สันติภาพ” เพราะเห็นถึงความ “อ่อนหัด” ของเสนาบดีหลายคนในรัฐบาลชุดนี้ ที่สุดท้ายแล้วนอกจากจะ “ล้มเหลว” ในการ “เจรจา” แล้วยังอาจจะเป็นการ “ยกระดับ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้ “เข้มแข็ง” ยิ่งขึ้น
เพราะเชื่อว่า การออกมาเคลื่อนไหวผ่านฟรีทีวีของนายคัสตูรีครั้งนี้ จะมีผลสะเทือนต่อการพิจารณาการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในมาตราที่ 21 และการเปิดพื้นที่พูดคุยกับผู้เห็นต่าง รวมทั้งการที่จะเจรจากับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านให้เป็น “คนกลาง” ในการพูดคุยกับ “แกนนำ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพราะการปรากฏตัวให้สัมภาษณ์ของนายคัสตูรี ได้สร้างความ “ยุ่งยาก” ให้แก่หน่วยงานความมั่นคง รวมทั้งเกิดการ “ลังเล” ต่อวิธีการพูดคุยเพื่อ “สันติภาพ” เพราะกลัวว่าสุดท้ายแล้ว จะต้องไปเจรจากับ “ตัวปลอม” ที่เข้ามาแบบ “โหนกระแส” เพื่อสร้างราคาให้องค์กร มากกว่าที่จะนำไปสู่ “ของจริง” ที่เป็นปมปัญหาของความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
งานนี้ “ใครถูกต้ม” และ “ใครต้มใคร” ใครอยู่เบื้องหลังในการ “จัดฉาก” เพื่อใช้นายคัสตูรี มะห์โกตา เป็นเครื่องมือ คิดกลับไปกลับมาให้ดี แล้วจะพบว่า “มันเป็นเช่นนี้เอง”