จากเหตุการณ์ระเบิด “คาร์บอมบ์” ศูนย์การค้า ลี การ์เดนส์ พลาซ่า หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ทำให้มีทั้งผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งทาง “ASTVผู้จัดการภาคใต้” ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ น.ส.สุนันทา เดชส่ง หรือแนน หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์วันนั้น ซึ่งมันเป็นฝันร้ายที่ติดตัวเธอมาจนถึงวันนี้ แนนถูกไฟไหม้ที่บริเวณแก้ม และใบหูด้านขวา และช่วงแขน มือทั้งสองข้าง จนไม่สามารถใช้การได้อย่างปกติ และยังคงต้องเดินสายเข้าออกโรงพยาบาลอยู่อย่างต่อเนื่อง
“แนน” เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นให้เราฟังอย่างแม่นยำ
วันนั้นอยู่ส่วนไหนของลีการ์เดนส์ และกำลังทำอะไรอยู่?
วันนั้นแนนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน โดยร้านที่ทำงานอยู่ชั้น B1 ของห้าง วันนั้นไม่คิดเลยว่าจะมีเหตุการณ์ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา ตอนแรกนึกว่าของตก ก็ไม่คิดว่าเป็นระเบิด พี่ที่ทำงานด้วยกันก็วิ่งออกไปดู ก็ได้วิ่งตามไป สักพักก็มีความรู้สึกร้อนๆ ที่ตัว แต่ก็ยังคงวิ่งออกไปจากห้าง จนถึงหน้าร้านนวดที่อยู่ข้างๆ ห้าง จึงเห็นตัวเองในกระจกในสภาพที่ไหม้เกรียม หัวดำหมดแล้ว เลยทำให้ตัวเองรู้สึกแสบมากๆ จนทนแทบไม่ไหว จึงเรียกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้พาไปโรงพยาบาล เพราะถ้ารอรถพยาบาล หรือรอให้มีคนมาช่วยคงไม่ไหวแล้ว มอเตอร์ไซค์รับจ้างจึงพาไปส่งที่โรงพยาบาลมิตรภาพสามัคคี หรือเซียงตึ้ง ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด
แล้วตอนนั้นคิดไหมว่าสภาพเราไม่เหมือนเดิมแล้ว?
ตอนนั้นไม่คิดเลย คิดว่าตัวเองโดนไม่เยอะ หมอจากที่โรงพยาบาลเซียงตึ้ง ส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หรือ ม.อ.หาดใหญ่ และทำการผ่าตัด จนหมอมาบอกว่าต้องมีการทำศัลยกรรม เพราะหนังลอกออกมาหมดแล้ว ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลหมอยังบอกอีกว่า มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมาช่วย เพราะหายใจไม่ค่อยสะดวก ซึ่งสภาพในตอนนั้น คือ กินอะไรไม่ได้เลย ต้องกินอาหารทางสายยางตลอด มันทรมานมาก แนนนอนรักษาตัวอยู่ที่ ม.อ.หาดใหญ่ 2 เดือน หลังจากนั้นกลับมารักษาตัวต่อที่ห้องเช่าในสภาพที่เราไม่เหมือนเดิม เครียดมากถึงกับเคยคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง ต้องไปพบหมอด้านจิตเวช เวลานอนก็นอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับ และยาคลายเครียดทุกครั้ง ถึงหลับแต่ก็หลับไม่สนิท ยังคงเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น สภาพตัวเองในตอนนั้นดูไม่ได้เลย จะพยายามไม่มองกระจก จะได้ไม่เห็นสภาพตัวเอง เพราะรับสภาพตัวเองไม่ได้เลย
ตอนนั้นเรามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับฝันร้ายจากอะไรบ้าง? และอะไรที่ทำให้เราหลุดพ้นจากภาพเหตุการณ์นั้นได้?
กำลังใจที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ แม่ แม่บอกว่า ถ้าไม่มีเรา แม่ก็อยู่ไม่ได้ และมีเพื่อนที่คอยดูแล และอยู่ให้กำลังใจกันตลอดมา หลังจากที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 2 เดือน เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลก็ลำบากมาก เพราะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ทำงาน ทำงานไม่ได้ ไหนจะมีแม่ที่ไม่สบายอยู่ มีโรครุมเร้าหลายโรค รวมทั้งน้องชายที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ด้วย ซึ่งแนนเป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัว ที่ต้องดูแลแม่กับน้อง ส่วนเพื่อนที่คอยอยู่ดูแล เขาเองก็ต้องทำงาน แต่เราก็ต้องไปโรงพยาบาลตลอด ไปเกือบทุกอาทิตย์ ซึ่งไปเองไม่ได้เลย เพื่อนก็ต้องกลับมารับพาไปหาหมอ ซื้อข้าวให้กิน เพราะหน่วยงานที่จะเข้ามาช่วยเหลือก็ไม่มีเลย หลังจากออกจากโรงพยาบาล
ผลกระทบหลังจากที่โดนเหตุการณ์?
ผลกระทบที่ได้รับหลังจากเกิดเหตุการณ์เยอะมาก เนื่องจากเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องหาเงินไปเลี้ยงครอบครัว ซึ่งแนนเป็นคน อ.เมือง จ.พัทลุง ส่วนแม่อยู่บ้านที่ จ.พัทลุง กับน้องชาย แม่กับพ่อแยกทางกัน
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นจนถึงวันนี้ยังคงเป็นฝันร้ายอีกไหม?
ยังจำทุกภาพ ทุกเหตุการณ์ ทุกความรู้สึกในวันนั้นได้อย่างแม่นยำ มันร้ายแรงมาก รับไม่ได้เลย เวลาอยู่คนเดียวก็จะคิดมาก คิดถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น ก็จะพยายามหาอะไรให้ตัวเองทำอยู่ตลอดเวลา พยายามโทร.คุยกับแม่ให้มากที่สุด จริงๆ แล้วอยากลับไปอยู่บ้านมากกว่า แต่จำเป็นต้องเช่าห้องอยู่ที่หาดใหญ่ เพราะยังต้องเข้าออกโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละครั้งก็ต้องมีค่าใช้จ่าย เลยจำเป็นต้องมาเช่าห้องอยู่ แต่ก็มีเพื่อนที่มาอยู่ด้วยกันช่วยดูแลตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มาจนถึงวันนี้
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาแล้ว มีหน่วยงานไหนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง?
ศูนย์เยียวยา จ.สงขลา มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาให้เป็นเงิน จำนวน 200,000 บาท ลีการ์เดนส์ หาดใหญ่ 20,000 บาท และหน่วยงานอื่นๆ อีก ซึ่งบางส่วนแม่ก็เป็นคนรับไว้ตอนที่แนนยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล และจะมีคนมาเยี่ยมกันทุกวัน และก็หายไปเลย ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาติดต่ออีกเลย ตอนนี้ก็ใช้สิทธิประกันสังคมในการรักษาตัวอยู่ ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็เอาไว้ใช้เวลาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ใช้ในชีวิตประจำวันด้วย และส่งให้ครอบครัวใช้ด้วย เพราะพวกเขาไม่ได้ทำงาน จนถึงวันนี้ เงินก้อนนั้นก็เกือบหมดแล้ว เพราะต้องใช้จ่ายทุกวัน โดยที่ไม่มีรายได้เข้ามาเลย เพราะแนนยังกลับไปทำงานไม่ได้
แต่ที่รู้สึกแย่กว่านั้นคือ เรารู้ว่าจะในส่วนงบของ ศอ.บต.หรือศูนย์เยียวยา เรามีสิทธิที่ได้รับเงินช่วยเหลืออีกจำนวนหนึ่ง บางทีก็คิดเหมือนกันว่าทำไมเขาไม่มาช่วยเราบ้าง ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าเราประสบเหตุเหมือนกัน เราต้องไปติดต่อด้วยตังเอง ทั้งๆ ที่ยังเดินทางไม่สะดวก แผลที่หน้า และที่มีโดนแดดไม่ได้ แต่ก็ต้องไปเดินเรื่องให้ทางจังหวัดเข้ามาช่วยด้วยตัวเอง บางทีก็เหนื่อย ก็ท้อ เพราะมันก็ลำบาก จะขับรถก็ขับไม่ได้ จนต้องขอให้เพื่อนมาช่วย จนเพื่อนต้องหยุดงานบ้างเพื่อที่จะเข้ามาช่วยเรา ถ้าไม่มีเพื่อนก็คงจะลำบากมากกว่านี้
เจ้าของร้านตอนที่เคยทำงานอยู่ที่ห้างว่าอย่างไรบ้าง เข้ามาช่วยเหลือบ้างไหม?
ตอนที่ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เขาก็บอกว่า จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และจะรับเข้าทำงานอีก แต่ตอนนี้ก็ถูกเขาปฏิเสธแล้ว ไม่เข้ามาช่วยเหลืออีกแล้ว และเขาก็ไม่คิดแล้วว่าเราลำบากมากแค่ไหน ทั้งๆ ที่เราเคยก็ทำงานให้เขา ก่อนจะเกิดเหตุระเบิดแนนเคยคิดจะลาออกแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ขอไว้ไม่ให้ลาออก ก็เลยอยู่ทำงานกับเขาต่อไป พอมาโดนแบบนี้ กลับมาปฏิเสธไม่รับเราเข้าทำงาน ตอนนั้นก็ยอมรับว่าโกรธมาก
ตอนนี้ได้มีการเดินเรื่องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานไหนบ้าง?
ก็มีศูนย์เยียวยา โดยไปเดินเรื่องมา 3-4 ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาเลย ตอนแรกก็โทร.ไปหาทุกหน่วยงานเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่มีหน่วยงานนี้หน่วยงานเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ตอนเขารับเรื่องไปเขาบอกว่าจะมาช่วยในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวันด้วย แต่เขาก็ต้องยื่นเรื่องไปทาง ศอ.บต.อีกที เขาถึงจะช่วยเหลือเราได้ ตอนนี้ก็รอมาได้ประมาณ 4 เดือนแล้ว ซึ่งก็นานมากแล้ว เราก็ต้องใช้ชีวิตประจำวันทุกวัน ต้องกินข้าว ทั้งยังต้องไปโรงพยาบาลอีก ซึ่งมันต้องใช้เงินทั้งนั้น ก็ลำบากมาก
ตอนนี้ก็มีข่าวว่าจับคนที่ร้ายที่ก่อเหตุมาได้แล้ว คิดอย่างไรบ้าง?
ก็แค้นมาก ที่ทำกับเราได้ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย เราทำงานของเราอยู่ดีๆ ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงมาทำกับเราแบบนี้ อยากจะไปเห็นหน้าเขามาก อยากไปถามเขาว่า ทำไมถึงมาทำกับเราแบบนี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ถือว่าเป็นความซวยของเราเอง อีกอย่างปีที่แล้ว อายุย่างเข้า 25 พอดี ถือเป็นปีเบญจเพสด้วย แล้วก่อนที่จะเกิดเหตุประมาณ 2-3 วัน ได้พูดกับตัวเองว่า เบื่องาน อยากจะพักสักเดือน 2 เดือน อยากจะเที่ยวบ้าง เพราะตั้งแต่เรียนจบมาก็ยังไม่ได้เที่ยวเลย ก็พูดเป็นลางไว้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว (ยิ้ม) แล้วก็ได้พักจริงๆ แต่พักแบบนี้ไม่ไหวมันนานไป และทำงานต่อไม่ได้ด้วย
มาถึงตอนนี้คิดไหมว่าหลังจากนี้จะทำงานอะไร?
ถ้าคิดจะกลับมาทำงานในสังคมเมืองอย่างที่เคยทำมา คงทำไม่ได้แล้ว กลัวว่าสังคมไม่ยอมรับ กลัวเขาจะรังเกียจ ที่คิดไว้คือ อยากค้าขาย อยากมีทุนสักก้อน นำมาเปิดเป็นร้านค้าแถวบ้าน ซึ่งถ้าเราทำไม่ได้ ก็จะให้แม่ทำ ก็คอยช่วยเหลือกัน ตอนนี้ก็ยังทำอะไรไม่ได้ อยู่ที่ห้องพักก็อยู่แต่ในห้องออกไม่ไหนไม่ได้ จะไปแต่ละครั้งก็ต้องรอให้เพื่อนว่าง บางทีก็เบื่อ อยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง อยากขับรถได้ จะได้ไม่ต้องไปรบกวนเพื่อนมาก ซึ่งหมอบอกว่า กว่าจะหายดีก็ประมาณ 3-4 ปี เพื่อที่จะให้แผลหายดีที่สุด แต่ตอนนี้ก็ยังมีการผ่าตัดอยู่เรื่อยๆ ผ่าตัดครั้งหนึ่งก็เกือบแสน
อยากฝากอะไรถึงคนที่ควรมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้บ้าง?
ถ้าพูดถึงห้าง ลีการ์เดนส์ หาดใหญ่ แล้ว เขาน่าจะมีการป้องกันตั้งแต่แรกแล้ว ถ้ารู้ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ทำไมเพิ่งมาป้องกัน เพราะทางห้างฯ ก็ได้ข่าวมาตลอดว่าจะมีการวางระเบิด แต่ทำไมเขาไม่ป้องกัน อยากให้ป้องกันเหตุมากกว่านี้ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก เพราะมันทรมานแค่ไหนที่ต้องมาโดนแบบนี้ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมาโดน อีกทั้งอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ เข้ามาช่วยอย่างเต็มที่ เพราะคนเราก็ต้องมีชีวิตประจำวัน มาเจอแบบนี้ก็ทำให้ท้อ ทำให้เหนื่อย แค่อยากให้เขาเข้ามาช่วยเหลือบ้าง เข้ามาแสดงความรับผิดชอบบ้าง ถึงแม้มันจะแลกกันไม่ได้กับสิ่งที่แนนต้องสูญเสียไป
ขณะเดียวกัน ด้าน น.ส.อาภรณ์ บำรุง หรือออย เพื่อนที่คอยอยู่ดูแล คอยอยู่เคียงข้างกันมาโดยตลอด ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมแก่ “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ว่า รู้จักกับ สุนันทา เดชส่ง หรือแนน ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุระเบิดได้ไม่กี่เดือน รู้จักเพราะว่าทำงานที่เดียวกัน แต่อยู่คนละร้าน แนนขายโทรศัพท์อยู่ชั้นล่าง ส่วนออยทำงานร้านเซเวนเซ่น อยู่ข้างบน วันนั้นไปทำงานแต่ตัวเองรู้สึกเหนื่อย เลยขอลางานตอนบ่าย พอเดินออกมาจากห้างประมาณ 5 นาที ซึ่งอยู่หน้าห้างพอดี ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา ก็ไม่คิดว่าจะเป็นระเบิด เลยไม่ได้สนใจอะไร จึงเดินกลับหอตามปกติ แล้วมีคนมาบอกว่าเกิดระเบิด เลยนึกถึงแนนว่าอยู่ไหน จึงโทรศัพท์ไปหา แต่ก็โทร.ไม่ติด วิ่งกลับมาเห็นควันขึ้นเต็มไปหมด จะเดินเข้าไปดูไม่ได้แล้ว จนเจ้าของร้านที่แนนทำงานอยู่โทร.มาให้ไปหาแนนด้วย ตอนนั้นแนนไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เมื่อไปเจอก็เห็นสภาพแนน แบบดูไม่ได้แล้ว แนนถามขึ้นมาทันทีว่า หน้าเขาเป็นอย่างไรบ้าง? ก็ได้แต่พูดปลอบใจว่า ไม่เป็นไร เดียวมันก็หาย
น.ส.อาภรณ์ยัง กล่าวอีกว่า สงสารแนนมาก เพราะครอบครัวแนนก็ลำบาก แม่ก็ไม่สบาย เป็นหลายโรค ตอนแนนนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็ไม่อยากให้แม่มานอนเฝ้า เพราะแม่จะเจ็บหัวใจ อยากให้แม่พักผ่อนมากกว่า อะไรที่ช่วยได้ก็จะเข้าไปช่วยเอง ที่มาช่วยอย่างนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไร เต็มใจที่จะมาช่วย เพราะเขาดูแลตัวเองไม่ได้ จะทำอะไรก็ลำบาก สงสารเพื่อน จะคอยพาไปโรงพยาบาล ซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้กิน และจะคอยพูดให้กำลังใจเขาตลอด ถ้าตรงกับวันทำงานก็จะลางานมา เพื่อพาเขาไปโรงพยาบาล ตอนนี้เขาก็ยังไม่หาย ก็จะคอยอยู่ดูแลแบบนี้ไปจนกว่าเขาจะกลับมาหายเป็นปกติ
น.ส.สุนันทา เดชสง หรือแนน พื้นเพเป็นคนจังหวัดพัทลุง เรียนจบปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เรียนจบจึงเข้าไปทำงานที่ร้านขายโทรศัพท์ในห้างลีการ์เดนส์ พลาซ่า หาดใหญ่ เธอเห็นเสาหลักของครอบครัว ที่ต้องดูแลแม่ที่ป่วย และน้องชายที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เหตุการณ์คาร์บอมบ์ ลีการ์เดนส์ ส่งผลให้ชีวิตเธอต้องเปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถเรียกมันหวนกลับมาได้อีก
ในความโชคร้ายของแนน ก็ยังมีความโชคดี ที่มีเพื่อนดีๆ คอยให้ความช่วยเหลือเธอมาตั้งแต่ต้น โดยไม่ได้คิดที่จะทอดทิ้ง ตอนนี้แนนก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ถนัดนัก ยังต้องเข้าออกโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้หมอดูแผล และยังไม่รู้ว่าต้องผ่าตัดอีกกี่ครั้ง ที่แย่กว่านั้น เธอไม่รู้เลยว่ามือทั้งสองข้างของเธอจะกลับมาใช้การได้อย่างปกติหรือไม่ เงินที่ ศอ.บต.ช่วยเหลือเธอไว้ตั้งแต่ต้น ก็ร่อยหรอลงทุกที แต่เธอก็ยังคงมีความหวังว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบจะติดต่อกลับมาเพื่อช่วยเหลือเธอ ขอเพียงแค่ให้เธอมีอาชีพเพื่อมีรายได้ที่จะดูแลแม่และน้องชายของเธอเท่านั้น หากผู้ใจบุญท่านใดมีความประสงค์จะช่วยเหลือ “สุนันทา เดชส่ง” หรือน้องแนน สาวน้อยผู้เคราะห์ร้าย สามารถติดต่อเธอได้โดยตรงที่เบอร์โทรศัพท์ 08-1542-3154
ทั้งนี้ ยังมีอีก 1 หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุคาร์บอมบ์ ลีการ์เดนส์ ที่อาการสาหัสกว่า สุนันทา เดชส่ง ขณะที่ “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ได้ติดต่อไปยังศูนย์เยียวยา จ.สงขลา เพื่อสอบถามข้อมูลเรื่องการช่วยเหลือ ติดตามได้จากคอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ ในตอนถัดไป ของ “ASTVผู้จัดการภาคใต้”