คอลัมน์ : ฝ่าเกลียวคลื่น
โดย...บรรจง นะแส
ข้อเสนอ ข้อเรียกร้องให้บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ของ เจ้าสัวซีพี คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ ให้เลิกซื้อปลาป่นจากเรืออวนลาก ของสมาคมรักษ์ทะเลไทย ที่ได้เสนอต่อบริษัทในเครือฯ ไปเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับในทางหลักการว่า จะนำเรื่องนี้ไปพิจารณา แต่นี่ก็เนิ่นนานมาเกือบปี แต่ก็หายไปในสายลม ไม่ยี่หระต่อความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เป็นชาวประมงหลายแสนครอบครัวที่ต้องใช้ทรัพยากรพันธุ์สัตว์น้ำในการประกอบอาชีพ รวมไปถึงประชาชนคนไทยที่บริโภคอาหารโปรตีนจากทะเลจำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ที่จำเป็นต้องร้องขอท่านก็เพราะว่า ถึงวันนี้ทะเลไทยวิกฤตสุดๆ ในเรื่องพันธุ์สัตว์น้ำในทะเล ที่บริษัทในเครือของท่านมีส่วนสำคัญในการทำลาย คือ การใช้ปลาป่นจากเรืออวนลากในธุรกิจอาหารสัตว์ของท่าน
ใครๆ ในสังคมไทย และสังคมโลกก็รู้ว่า คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ ท่านเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศไทย (จัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์) อีกทั้งนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ว่า ท่านเป็น 1 ใน 25 ของเอเชียที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพล และเป็นคนเดียวของประเทศไทยที่ได้รับการจัดอันดับความร่ำรวยที่สุดในประเทศมาตั้งแต่ปี 2553 ในปัจจุบัน ท่านดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นบริษัทชั้นนำของโลก และของเอเชีย ที่ผลิต และจำหน่ายอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังมีบริษัทในเครือกว่า 200 บริษัท มีการลงทุนในต่างประเทศถึง 20 ประเทศ พนักงานกว่า 2 แสนคน และมียอดขายรวมกันทุกกลุ่มธุรกิจรวมมากกว่า 6 แสนล้านบาท ความมั่งคั่งร่ำรวยของท่านไม่มีใครปฏิเสธในความรู้ ความสามารถ ความขยันหมั่นเพียร ตลอดถึงฝีมือทักษะในการบริหารจัดการองค์กร แต่ในโลกปัจจุบัน ความร่ำรวยมั่งคั่งบนความอดอยากยากแค้นของผู้อื่น หรือการดำเนินธุรกิจที่ปราศจากความรับผิดชอบ จะต้องได้รับการท้วงติง ตรวจสอบจากสาธารณะมากขึ้นเช่นกัน
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ควบรวมบริษัทย่อยๆ ในเครือ 10 บริษัทเป็นบริษัทใหญ่ 1 บริษัท เพื่อประกอบธุรกิจเกษตร และอุตสาหกรรม และอาหารในประเทศไทยในชื่อ บริษัท ซีซีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (CCFTH) ไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันนี้ บริษัทซีพีเอฟถือหุ้นทั้งทางตรง และทางอ้อมในสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 50.00 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วของบริษัทนั้น และมีบริษัทที่ซีพีเอฟมีอำนาจควบคุม จำนวนทั้งสิ้น 127 บริษัท ซีพีเอฟได้จำแนกธุรกิจตามประเภทของสินค้าออกเป็น 3 ธุรกิจหลักคือ 1) ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) 2) ธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ (Farm) ได้แก่ การเพาะพันธุ์สัตว์ การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า และการแปรรูปเนื้อสัตว์พื้นฐาน และ 3) ธุรกิจอาหาร (Food) ได้แก่ การผลิตสินค้าเนื้อสัตว์กึ่งปรุงสุก และปรุงสุก และการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนตามตรอกซอกซอยในประเทศนี้ เราก็พบกับธุรกิจของท่าน ไปตามพื้นที่ชนบทเราก็จะพบกับเกษตรกรที่อยู่ในการควบคุมดูแลของท่าน วันนี้มีคำถามว่า เกษตรกรเหล่านั้นมีความมั่งคั่งร่ำรวยไปกับท่านกี่มากน้อย???
มีความจำเป็นที่จะต้องพูดกับท่านเจ้าสัว ในประเด็นที่บริษัทในเครือของท่านยังไม่ยุติการนำปลาป่นจากเรืออวนลากมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ (Feed) ก็เพราะว่า อุตสาหกรรมของท่านมีส่วนทำลายทำร้ายทะเลไทย ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรอิสระอย่างชาวประมง และคนกินปลาอาหารธรรมชาติได้รับผลกระทบจากการทำธุรกิจของท่าน เครือเจริญโภคภัณฑ์มีนักวิจัยมากมาย อยากให้พวกเขาได้ไปศึกษาที่นอกเหนือจากมิติทางธุรกิจบ้าง อย่างงานวิจัยที่กล่าวว่า อ่าวไทยมีศักยภาพการผลิต (carrying capacity) ของสัตว์น้ำหน้าดินอยู่ที่ประมาณ 750,000 ตัน ซึ่งต้องการการลงแรงประมงอวนลาก (fishing effort) อยู่ที่ 8.6 ล้านชั่วโมง (Muntana, Somsak, 1982) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 เป็นต้นมา มีการจับสัตว์น้ำหน้าดินด้วยอวนลากเกินศักยภาพการผลิตของทะเล โดยปี พ.ศ.2525 ผลผลิตของประมงอวนลากอยู่ที่ 990,000 ตัน ซึ่งเกินกว่ากำลังการผลิตของทะเลกว่า 30% เป็นสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งของความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทะเล ส่งผลให้ในปี พ.ศ.2529 ผลผลิตของเรือประมงอวนลากลดลงเหลือ 648,560 ตัน ขณะที่ต้องลงแรงทำการประมงถึง 11.9 ล้านชั่วโมง
หรือให้ไปดูข้อมูลจากสถิติการทำประมง ที่กรมประมงศึกษาวิจัยมาตั้งแต่ปี 2504 ที่มีนำอวนลากเข้ามาใช้ในประเทศไทยบอกไว้ว่า อัตราการจับสัตว์น้ำของอวนลากอยู่ที่ชั่วโมงละ 297.6 กก. ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการจับสัตว์น้ำจากอ่าวไทยพุ่งขึ้นมากหลายเท่าตัว หลายล้านตันต่อปี และเริ่มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยในปี พ.ศ.2525 อัตราการจับเหลือชั่วโมงละ 49.2 กก. และเหลือเพียงชั่วโมงละ 22.78 กก.ในปี พ.ศ.2534 กระทั่งปี พ.ศ.2552 งานวิจัยของโอภาส ชามะสนธิ และคณิต เชื้อพันธุ์ ระบุว่า ปี พ.ศ.2549 อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของอ่าวไทยตอนบนเหลืออยู่เพียงชั่วโมงละ 14.126 กก. ในขณะที่งานวิจัยเรื่ององค์ประกอบของผลผลิตอวนลากได้พบว่า สัดส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ต้องการมีเพียงร้อยละ 33.3 ที่เหลือเป็นปลาเป็ดร้อยละ 66.7 และร้อยละ 30.1 ของปลาเป็ดเป็นสัตว์ส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อน
สัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อนในทะเลไทยถูกกวาดขึ้นมาด้วยเรืออวนลาก เข้าสู่โรงงานปลาป่น และป้อนให้กับธุรกิจอาหารสัตว์ของท่านเจ้าสัว สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้แก่ท่าน แต่อาชีพประมงอื่นๆ ในประเทศกำลังล้มละลาย คนกินปลากำลังถูกสถานภาพแกมบังคับให้หมดทางเลือก เสมือนบริษัทในเครือของท่านกำหนดให้กินแต่ไก่ขาว หมูขุน ปลานิล/ปลาทับทิม ที่ท่านสามารถควบคุมได้เบ็ดเสร็จ ทั้งราคา อาหาร ยา พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ฯลฯ แล้วสังคมไทยจะพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างไร ในเมื่อฐานทรัพยากรของส่วนรวมถูกทำลายลงไป ท่านจะร่ำรวยมั่งคั่งแค่ไหนก็ไร้ศักดิ์ศรี ถ้าท่านยังปล่อยให้มีการดำเนินธุรกิจที่ไปทำลายทรัพยากร และทำร้ายคนอื่นๆ เพื่อมุ่งควบคุมสรรพสิ่งไว้ในมือท่านแต่เพียงผู้เดียว
เลิกเถิดครับท่านเจ้าสัว โดยเฉพาะการมีส่วนทำร้ายทะเลไทยด้วยการซื้อปลาป่นจากเรืออวนลาก เพิ่มความรับผิดชอบโดยการนำเข้าปลาป่นที่มีการควบคุม หรือเพิ่มราคาซื้อปลาป่นจากธุรกิจต่อเนื่องของโรงงานปลากระป๋อง แค่นี้คงไม่ทำให้ความมั่งคั่งของท่านลดลงหรอก ตรงกันข้ามจะได้ชื่อว่าบริษัทในเครือของท่านมีส่วนรับผิดชอบต่อทะเล และแหล่งอาหารธรรมชาติของพี่น้องร่วมสังคม หรือการทำลายทะเลคือเจตนาของท่าน??? เพื่อจะให้ผู้บริโภคทุกคนตกอยู่ในกำมือ มันจะมากไปนะครับท่านเจ้าสัว