โดย...ทีมข่าวภูมิภาค
เสร็จสิ้นไปแล้วสำหรับศึกชิงนายกเทศมนตรีนครสงขลาแทน “นายพีระ ตันติเศรณี” ที่ถูกลอบยิงเสียชีวิต ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ผู้ที่มีคะแนนนำมาเป็นอันดับ 1 ได้แก่ นายสมศักดิ์ ตันติเศรณี หรือรองบ่าว จากทีมสงขลาใหม่ 17,094 คะแนน อันดับ 2 นายจรัญ บิลพัฒน์ หรือรองหมู จากทีมพลังสังคม 11,022 คะแนน อันดับ 3 นายจารึก ตันติเศรณี จากทีมรักษ์นครสงขลา 797 คะแนน และอันดับ 4 ว่าที่ ร.ต.ประสิทธิ์ บัวงาม จากทีมชุมชนก้าวหน้า 496 คะแนน
ว่ากันว่า ชัยชนะของทีมสงขลาใหม่ที่มีนายสมศักดิ์เป็นหัวขบวนในครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะของประชาชนที่ต้องการให้มีการสืบสานเจตนารมณ์ของนายพีระต่อเนื่องไป โดยเฉพาะการรักษาป่าสนผืนสุดท้าย ณ แหลมสนอ่อนบริเวณชายหาดสมิหลาให้ยังคงอยู่
สำหรับนายสมศักดิ์ที่ชนะการเลือกตั้ง กับนายจรัญที่ได้อันดับ 2 ทั้งคู่เคยเป็นรองนายกเทศมนตรีนครสงขลาคู่บารมีนายพีระ โดยนายสมศักดิ์ที่นามสกุลเดียวกันนั้นเพราะมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง ขณะที่นายจารึกคือ น้องชายร่วมสายโลหิตเคยเป็น ส.ท.ในสังกัดทีมเดียวกัน ส่วนว่าที่ ร.ต.ประสิทธิ์ เพิ่งลงเล่นการเมืองเป็นครั้งแรก และอยู่ในเครือข่ายคนเสื้อแดง จ.สงขลา
มีการตั้งข้อสังเกตด้วยความฉงนสนเท่ห์ของผู้คนจำนวนมาก รวมถึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูเกี่ยวกับศึกเลือกตั้งนายกนครสงขลาครั้งนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่เกิดขึ้นภายหลังจาก กกต.สงขลาปิดการรับสมัคร ซึ่งปรากฏว่า “ทีมสงขลาใหม่” ที่นายพีระร่วมตั้งมากับมือเกิดการแตกร้าวแบบยากเยียวยา และกลายเป็นศึกสายเลือดระหว่าง “ตันติเศรณี” ด้วยกันเอง
เนื่องจากนายจารึกผู้เป็นน้องชายของนายพีระ ครั้งแรกประกาศอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพร้อมร่วมทีมกับนายสมศักดิ์ และขอนั่งเป็นเพียงตำแหน่งรองนายกฯ แต่ภายหลังเกิดการเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย โดยออกไปตั้งทีมรักษ์นครสงขลาเพื่อลงชิงตำแหน่งกับนายกฯ เสียเอง ซึ่งสร้างความผิดหวังให้แก่ครอบครัว แต่นายสมศักดิ์ก็แก้เกมด้วยการดึงน้องสาวของนายพีระลงเสียบแทน พร้อมพ่วงเองมารดานายพีระเข้าไปเป็นกองหนุนได้อย่างสำคัญ
ทำไมจึงเกิดศึกสายเลือด ทำไมนายจารึกจึงเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน และอีกหลากหลายทำไมที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดแจ้งแม้จนเดี๋ยวนี้??
ประเด็นหนึ่งของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ชี้เป้าไปที่บรรดากลุ่มผู้สนับสนุนในเบื้องหลัง โดยมีการประเมินไว้ตั้งแต่แรกเริ่มว่า คู่ท้าชิงหลักๆ ซึ่งถ้าเป็นมวยก็ถือว่าไม่น่าจะทิ้งห่างกันมากนักก็คือ คู่ระหว่าง นายสมศักดิ์ กับ นายจรัญ ส่วนที่เหลือคงเป็นได้แค่ตัวประกอบ แต่เมื่อมีการชงนายจารึกขึ้นท้าชิงกับเขาด้วย อาจจะทำให้ฝ่ายที่ถูกประเมินเป็นตัวเต็งถูกตัดคะแนนจนเกิดการเพลี่ยงพล้ำก็เป็นได้
จึงไม่แปลกที่ระหว่างการหาเสียงที่เข้มข้น และดุเดือด ผู้คร่ำหวอดในวงการการเมืองท้องถิ่นสงขลาได้ออกมาวิเคราะห์ และชี้ให้สังคมเห็นถึงการทำสงคราม “ข่าวลือ” นานาชนิดของแต่ละทีม โดยแต่ละข่าวถูกปล่อยออกไปเพื่อดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม เช่น มีการปล่อยข่าวว่าฝ่ายตรงข้ามที่บงการให้นายพีระเสียชีวิตทุ่มเงินหนุนทีมคู่แข่งของทีมนายพีระหลายสิบล้านบาท หรือการปล่อยข่าวว่า นายจารึกถูกจ้างให้ลงสมัครเพื่อล้มทีมสงขลาใหม่ หรือต้องการทำให้ปั่นป่วน อีกทั้งมีตัวเลขจำนวนเม็ดเงินที่ถูกระบุในการใช้หาเสียงก็ดี จ้างวานก็ดี ล้วนเป็นหลัก 30 ล้านทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีการฉายภาพให้เห็นบรรดา “พี่เลี้ยง” ของแต่ละทีมว่าใครมีค่ายการเมืองใหญ่โอบอุ้มอยู่บ้าง และใครมี “คลังมหาสมบัติ” อยู่ในมือเพียงพอในการเลี้ยงดูไพร่ราบพลรบอย่างเต็มที่หรือไม่?!
เป็นที่น่าสังเกตว่า นับเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้วที่นายพีระถูกกลุ่มมือปืนลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตบริเวณหน้าสำนักงานสงขลาฟอรั่ม กลางเมืองสงขลา เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2555 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่นานก็ระบุชัดว่า การตายของนายพีระเป็นผลพวงของความขัดแย้งในการเมืองท้องถิ่น ซึ่งตามสภากาแฟ และหน้าสื่อต่างๆ ก็มีการวิเคราะห์เจาะลึกกลุ่มการเมืองในสงขลาที่แตกแยกออกเป็น 2 ฝ่ายให้เห็นอย่างชัดเจนไปแล้ว
ในระดับเทศบาลนครสงขลา 2 ขั้วที่เคยลงแข่งชิงตำแหน่งนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ได้แก่ นายพีระ กับ นายกิตติ ชูช่วย ผู้เป็นน้องชายร่วมสายโลหิตของนายอุทิศ ชูช่วย นายก อบจ.สงขลาคนปัจจุบัน ซึ่งในเวลานี้ นายกิตติกลายเป็น 1 ใน 4 ผู้ต้องหาคดีลอบฆ่านายพีระ โดยถูกออกหมายจับในฐานะผู้บงการ และชิงเข้ามอบตัวจนได้รับการประกันตัวออกไปแล้ว ส่วนอีก 3 คนยังถูกควบคุมตัวอยู่ในฐานะมือสังหาร
หากมองสายสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อกันเหนือขึ้นไปถึงในระดับ ส.ส.สงขลา เป็นที่ทราบกันว่าปัจจุบันมี 2 ขั้วที่ช่วงชิงกันอยู่ ได้แก่ ขั้วที่มีแกนนำคือ นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับกลุ่มของนายพีระ และนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน กับอีกขั้วภายใต้การนำของนายถาวร เสนเนียม อดีต รมช.มหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีความแนบแน่นกับกลุ่มนายอุทิศ
เป็นที่ทราบกันของคนสงขลามานานว่า แท้จริงแล้ว นายนิพนธ์ นายพีระ และนายอุทิศ ทั้ง 3 คนเคยเป็นเพื่อนรักถึงขั้นกินข้าวหม้อเดียวกันมา โดย 2 คนหลังเติบโตมาจาก อ.ระโนด จ.สงขลา ด้วยกัน แล้วทั้ง 2 คนก็มากอดคอกับคนแรกที่มาจาก อ.จะนะ จ.สงขลา สมัยที่เข้าเรียนต่อในโรงเรียนมหาวชิราวุธสงขลา เคยร่วมเป็นทีมทำงานการเมือง และยึดครองสภานักเรียนได้ตั้งแต่อยู่ในรั้วโรงเรียน ภายหลังกระจายกันเข้าสู่สนามการเมืองทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ ทั้ง 3 คนก็ยังได้ร่วมกันยึดสนามเลือกตั้งท้องถิ่นอย่างเทศบาลเมืองสงขลาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาแล้ว
แต่เพียงแต่ไม่กี่ปีมานี้ ได้เกิดความไม่ลงตัวในสนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ส่งผลให้นายอุทิศแยกตัวออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับกลุ่มนายถาวร ขณะที่นายนิพนธ์ และนายพีระยังร่วมหัวจมท้ายกันในฐานะเพื่อนสนิทต่อไป!!
แม้ในการเลือกตั้งนายกนครสงขลาเที่ยวล่าสุด แทนที่นายพีระที่ต้องมาล้มหายตายไปก่อนวัยอันควร ก็มีการสนับสนุนจุนเจือจากกลุ่มของนายนิพนธ์ต่อสายไปยังทีมสงขลาใหม่ที่มีนายสมศักดิ์เป็นหัวขบวน และก็ว่ากันว่า ฝ่ายฝ่ายตรงข้ามก็มีร่างเงาของกลุ่มนายอุทิศทอดทับไปถึง
ไม่เพียงเท่านั้น ในสนามการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่นานนี้ ก็เป็นที่รับรู้รับทราบกันแล้วว่า มวยถูกคู่คงไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจาก นายนิพนธ์ ที่พร้อมจะลดเพดานจาก ส.ส.ลงมาท้าชิงตำแหน่งกับ นายอุทิศ ผู้ที่จะต้องทุ่มทุกวิถีทางเพื่อรักษาเก้าอี้ไว้ต่อไปให้ได้นั่นเอง
ณ เวลานี้ศึกชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครสงขลาจบลงไปแล้วแบบไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดใดๆ เกิดขึ้น แต่สำหรับศึกภายในระหว่างแกนนำคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ จ.สงขลา ยังคงต้องดำเนินต่อไป และในสนามเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาที่กำลังจะมาถึง ก็ยากที่จะมีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีกหรือไม่??!!