ในโลกทุนนิยมสมัยนี้ ไม่ว่ากลุ่มทุนทั้งนอกหรือในประเทศ รวมถึงกลุ่มทุนการเมือง ซึ่งจ้องหากินบนฐานทรัพยากรของชาติและประชาชน ใช้อำนาจ ความได้เปรียบและความเหนือกว่าตั้งหน้าตั้งตากอบโกยผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อตนเองและพวกพ้อง กลุ่มทุนพวกนี้ล้วนมีความสามานย์ไม่แตกต่างกัน
แต่ที่น่าเกลียด น่ากลัวและน่าสยดสยองพองขนยิ่งกว่าก็คือ บรรดากลุ่มทุนการเมืองนี่แหละที่ชอบอ้างนักอ้างหนาว่าทำหน้าที่แทนประชาชน ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งๆ ที่ชาวบ้านร้านตลาดเขารู้กันทั่ว หลายครั้งจับติดชนิดมีหลักฐานยืนยันชัดแจ้ง แต่ก็ยังแถจนสีข้างเหวอะหวะ ยังแอบอ้างกันได้อย่างหน้าด้านหน้าทนแบบไม่อายฟ้าดิน
การเดินทางไปประเทศพม่าเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ของคณะรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกเชิดให้ดูเป็นโต้โผใหญ่อย่างออกหน้าออกตา เพราะมีทั้งภาพที่เป็นน้องสาวของนักโทษที่ไปเร่ร่อนบงการอำนาจรัฐไทยอยู่นอกประเทศและนามสกุลเดียวกันเป็นเครื่องการันตีอีก สิ่งนี้น่าจะเป็นตัวอย่างได้ชัดเจนอีกครั้ง
แปลกไหมปูแดงนำคณะเยือนพม่าเที่ยวล่าสุดเป็นไปแบบไม่เป็นทางการ ทั้งที่ขนภาคราชการและเอกชนไปเพียบ แถมยังเกิดขึ้นหลังจากนักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปต่อสายสานผลประโยชน์ในพม่าแบบฝุ่นยังไม่ทันจางหาย โดยมุ่งเน้นเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของพม่า ซึ่งพม่ามีแผนจะสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่และแหล่งอุตสาหกรรมขนาดมหึมาตามมาอีกมากมาย
ใครๆ ก็รู้ว่าโครงการนี้มีกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่จากไทยเข้าไปเป็นตัวจักรสำคัญ และกลุ่มทุนภายใต้ปีกโอบทักษิณนี่แหละกำลังจ้องจะฮุบไว้ในมือ มีการเอาทั้งงบประมาณและทรัพยากรของคนไทยไปถ่มให้ฝ่ายพม่า เพื่อให้พม่าเอื้อต่อการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนตนเองอย่างคล่องมือ ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางที่เชื่อมจากท่าเรือทวายมายังไทย หรือแม้กระทั่งข่าวที่ไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยคือ บีบให้ กฟผ.ยกโรงไฟฟ้า 2 แห่งไปให้พม่าแบบฟรีๆ แถมยังบังคับ ปตท.และ ปตท.สผ.ร่วมลงขันกันกว่า 600 ล้านบาทใช้สำหรับเป็นค่าขนย้ายโรงไฟฟ้าไปติดตั้งจนถึงขั้นเดินเครื่องใช้ได้
การยกคณะใหญ่ไปพม่าของน้องสาวจึงไม่วายที่จะถูกวิพากษ์ว่า เป็นการเอารัฐบาลไทยไปต่อยอดให้กับกลุ่มทุนในเครือข่ายของพี่ชายนั่นเอง
และอาจจะซ้ำรอยกรณีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท แล้วให้คนในตระกูลชินวัตรไปรับสัมปทานต่อ สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติและประชาชนคนไทยที่ศาลก็ได้ฉายภาพให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว หรือแม้กระทั่งซ้ำรอยกับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะกรณีวงโคจรดาวเทียมกับจีน หรือการทำเอฟทีเอกับชาติต่างๆ
จากภาพที่กลุ่มทุนการเมืองไทยไปยึดครองลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมที่ทวายในพม่า ทำให้มองเห็นความสามานย์ของกลุ่มทุนการเมืองในไทยได้อีกเยอะแยะ เอาเฉพาะที่เชื่อมต่อจากโครงการนี้ก็มีมากมาย
มีข้อมูลยืนยันจากทั้งฟากฝั่งผู้ประกอบการและนักวิชาการระบุว่า เมื่อพม่าเดินหน้าสร้างท่าเรือน้ำลึกทวายไปแล้ว ในภูมิภาคนี้แทบไม่มีความจำเป็นต้องสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่เพิ่มอีก ดังนั้นการเดินหน้าสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา บนฝั่งทะเลอันดามันใน อ.ละงู จ.สตูล กับท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 ที่บ้านนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา ก็สมควรต้องยกเลิกไปโดยปริยาย
แต่เชื่อไหมครับว่า ถึงวันนี้บรรดานักการเมืองของไทยยังไม่ยอมลดละที่จะเดินหน้าต่อ เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้หากินกับโครงการต่างๆ นั่นแหละครับ
โดยเฉพาะท่าเรือทั้ง 2 แห่งที่ว่ามามันเป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเมกะโปรเจกต์ที่เรียกว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือเซาเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งนอกจากส่วนของท่าเรือหัว-ท้ายแล้ว ยังต้องสร้างระบบรถไฟขนคอนเทรนเนอร์ รวมถึงระบบท่อส่งก๊าซและและน้ำมันเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามันอีกด้วย
อีกทั้งเมกกะโปรเจกต์เซาเทิร์นซีบอร์ดนี่ก็ทำหน้าที่เป็นแค่เพียงโครงสร้างพื้นฐานให้กับการเกิดขึ้นของอภิมหาเมกะโปรเจกต์อื่นๆ ที่จะตามมา โดยเฉพาะความเป็นแหล่งลงทุนด้านอภิมหาอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะกระจัดกระจายอยู่ทั่วผืนแผ่นดินด้ามขวานทอง นับเนื่องตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ยันนราธิวาส อาทิ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5 แห่ง โรงถลุงเหล็ก โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงแยกก๊าซ โรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมขุดเจาะและสนับสนุนการขุดเจาะก๊าซและน้ำมัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี นี่ยังไม่นับรวมอุตสาหกรรมแร่และการเกษตรที่ก็มีอยู่แล้วมากมายมหาศาล ซึ่งหลายจังหวัดของภาคใต้มีการประกาศเขตอุตสาหกรรมเตรียมรองรับไปแล้วบางแห่งหลายแสนไร่
ดังนี้แล้ว ถ้าบรรดากลุ่มทุนการเมืองผลักดันให้เกิดอภิมหาเมกะโปรเจกต์เหล่านี้ได้ มันสามารถที่จะสร้างเม็ดเงินได้นับแสนนับล้านล้านบาทกระเด็นเข้ากระเป๋าคนพวกนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่ยืนยันว่า 2 ท่าเรือน้ำลึกปากบาราและสงขลาแห่งที่สอง รวมถึงโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ดที่ไม่ควรสร้างก็พิจารณาจากยุทธศาสตร์ชาติที่ว่า มีการสร้างภาพให้ภาคใต้ของไทยเราเหมาะเป็นศูนย์กลางและเป็นสะพานเชื่อม 2 ซีกโลก แน่นอนโดยสภาพภูมิศาสตร์ดูแล้วเป็นไปได้ แต่โดยข้อเท็จจริงไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แถมทำให้เกิดขึ้นจริงได้อยากยิ่งเสียด้วย
ไทยถูกสร้างภาพมานานว่า เราไม่มีท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลตะวันตก แต่โดยข้อเท็จจริงท่าเรือน้ำลึกในไทยที่มีอยู่ฝั่งตะวันออกล้วนเป็นได้แค่เพียงท่าเรือลำเลียงชายฝรั่ง ไม่ใช่ท่าเรือที่สายการเดินเรือโลกเข้ามาใช้บริการอย่างเป็นด้านหลัก เมื่อแค่ลำเลียงสินค้าไปส่งต่อยังท่าเรือแม่อย่างเช่นที่สิงคโปร์ ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างท่าเรือใหม่ เพราะที่มีอยู่แล้วก็เพียงพอ แม้จะอยู่ฝั่งอ่าวไทยก็ตาม เนื่องจากท่าเรือสิงคโปร์สามารถขนส่งต่อไปได้ทั้งซีกโลกตะวันออกและตะวันตก เพราะอยู่ปลายสุดของแหลมมลายู
เช่นเดียวกันไทยถูกสร้างภาพให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในตลาดโลกแห่งใหม่ด้วยเซาเทิร์นซีบอร์ด แต่แท้ที่จริงแล้วการจะเอาสินค้ามาส่งผ่านไทยจากการเกิดขึ้นของโครงการนี้ไม่คุ้มทุนเอามากๆ เลย เพราะเคยมีการเทียบเวลาว่าเดินเรือสินค้าผ่านช่องแคบมะละกา แม้จะอ้อมหน่อย แต่ก็ใช่เวลาแค่ประมาณ 19 ชั่วโมง หากเอาสินค้ามาขนถ่ายผ่านท่าเรือไทย โดยต้องยกขึ้น-ลงจากเรือสู่รถไฟแล้ววิ่งตัดแหลมมลายูกว่า 160 ก.ม.ไปยกลงเรือที่ท่าเรืออีกฝั่งต้องใช้เวลากว่า 40 ชั่งโมง
ไม่เพียงเท่านั้นค่าใช้จ่ายต่างๆ เมื่อเทียบกันก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน อย่างเคยมีการคำนวณออกมาว่าหากใช้เรือขนาดเดียวกัน จากต้องเสียแค่หมื่นกว่าเหรียญ จะกลายเป็นต้องควักเพิ่มเป็นเกือบแสนเหรียญ แล้วอย่างนี้ใครจะมาใช้บริการขนสินค้าผ่านเซาเทิร์นซีบอร์ดของไทย
ต้องขอบอกไว้ตรงนี้ด้วยนะครับว่า ถ้าเรายังปล่อยให้มีการดันทุรังเดินหน้าสร้างโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด รับรองได้ว่าประวัติศาสตร์อัปยศจะกลับมาหลอกหลอนคนไทยไปอีกนานแน่
ในวันนี้คนไทยยังไม่น่าจะลืมท่าเรือน้ำลึกตะพานหิน จ.พิจิตร และท่าเรือน้ำลึกนครสวรรค์ ท่าเรือน้ำลึกสงขลา 1 และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เมกะโปรเจกต์รุ่นเดียวกันที่แจ้งเกิดประมาณปี 2526 ในวันนี้บางแห่งได้กลายเป็นแค่ลานเตะบอลและที่มั่วสุมยามค่ำคืนของวัยรุ่น บางส่วนถูกใช้เป็นที่ตากข้าว หรือที่ใช้อยู่ก็ไม่สมกับราคาที่ลงทุนไป
หรืออย่างถนนเซาเทิร์นซีบอร์ดใต้ตอนกลางที่สร้างเสียใหญ่โตมโหฬาร เชื่อม 2 ฝั่งทะเลจากกระบี่ไปยังนครศรีธรรมราช ซึ่งรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ในยุคประชาธิปัตย์ครองเมืองผลักดันไว้ด้วยงบนับแสนล้านบาท เอาแค่เว้นเกาะกลางไว้ให้ระบบรถไฟ ท่อก๊าซและท่อน้ำมันก็เกินร้อยเมตร แต่รถไฟและท่อก็ไม่ได้เกิด อยากให้ลองไปใช้บริการถนนเส้นนี้ดูนะครับว่าจะรู้สึกสุดหงอยเหงาแค่ไหน
ณ วันนี้รัฐบาลภายใต้ปีกโอบของระบอบทักษิณ และมีกลุ่มทุนในระบอบชินวัตรเกาะเกี่ยวยึดโยงกันไว้เหนี่ยวแน่น เราก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปนะครับ