โดย...ทรงวุฒิ พัฒแก้ว สมาคมรักษ์ทะเลไทย
คงไม่มีทะเลที่ไหนที่ชาวบ้าน ท้องถิ่น ข้าราชการในพื้นที่ กล้าลุกขึ้นมาประกาศอย่างพร้อมกันว่า ทะเลหน้าบ้านมีความอุดมสมบูรณ์อย่างเต็มปากเต็มคำเหมือนทะเลที่ “ท่าศาลา” หรือที่ทุกคนเรียกติดปากว่า “อ่าวทองคำ”
สืบเนื่องจากเมื่อหลายสิบปีก่อน ทะเลแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก แต่ก็ถูกเรือประมงพาณิชย์ ทั้งเรืออวนลาก อวนรุน เรือคราดหอยลาย เข้ามาทำการประมงจนทะเลเสื่อมโทรมเพราะฟื้นฟูไม่ทัน จนเมื่อปี ๒๕๕๐ ภาคส่วนต่างๆ ได้ร่วมมือกันอย่างจริงจัง จนสามารถยับยั้งการทำประมงที่ทำลายล้างได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเรือคราดหอยลาย และได้ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นทางทะเลเพื่อปกป้องและรักษาทรัพยากรชายฝั่งอย่างยั่งยืนเป็น อบต.แรกของประเทศไทยในปี ๒๕๕๒
จากนั้นเป็นต้นมา ทะเลของท่าศาลาฟื้นตัวกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งอย่างรวดเร็ว เพราะการทำประมงผิดกฎหมายที่ค่อยหมดไป ประกอบกับที่อ่าวทองคำแห่งนี้เป็นระบบนิเวศเฉพาะที่เอื้อต่อการอาศัยของสัตว์น้ำ ทำให้วันนี้ เรือประมงเกือบสองพันลำ ยังคงทำการประมงอย่างมีความสุข และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
นายอภินันท์ เชาวลิต นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าศาลา ซึ่งเป็นแกนนำท้องถิ่นในการออกข้อบัญญัติทางทะเล และเฝ้าระวังการทำประมงที่ผิดกฎหมาย เผยว่า “ทะเลท่าศาลาเพียงพอให้ชาวประมงจำนวนมากสามารถทำมาหากินกันได้อย่างเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานที่อื่น ระบบเศรษฐกิจทางการประมงที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบัน อบจ.ได้วางปะการังเทียมตลอดแนวชายฝั่งสองชั้น ทั้งจังหวัด ในเขต ๓,๐๐๐ เมตร และ ๕,๔๐๐ เมตร รวมทั้งมีเรือตรวจการณ์เฝ้าระวังชายฝั่ง เมื่อทะเลไม่มีใครทำลาย ไม่มีการรบกวน ไม่มีนายทุนมากอบโกย มันสมบูรณ์ได้ในตัวมันเอง”
ด้วยความเป็นอ่าวที่ตั้งในเขตทิศทางลม โดยมีอิทธิพลจากเทือกเขาหลวงเป็นปราการที่กั้นขวางไว้ตลอดแนว ประกอบกับอ่าวท่าศาลาเป็นดินดอนปากแม่น้ำหลายสิบสาย ทำให้มีระบบนิเวศเฉพาะถิ่น กล่าวคือ เมื่อลมพัดจากชายฝั่งทะเลมาปะทะเทือกเขาหลวง ทิศทางลมจะไหลเวียน ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่าลมแปดทิศ และอีกทั้งเทือกเขาหลวงเป็นแหล่งแร่ธาตุ และสารอินทรีย์จำนวนมาก รวมถึงก่อเกิดแม่น้ำสายสั้นๆ หลายสิบสายไหลพัดพาตะกอนลงมาในอ่าวท่าศาลา เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์น้ำขนาดเล็ก ส่งผลให้เกิดระบบนิเวศหลากหลายที่ปากแม่น้ำ
อาจารย์วิชาญ เชาวลิต ประธานเครือข่ายรักษ์บ้านเกิดท่าศาลา ซึ่งเป็นนักวิชาการท้องถิ่น ได้อธิบายว่า “ท่าศาลาเป็นระบบนิเวศเฉพาะที่เรียกว่าลมแปดทิศ และดินดอนปากแม่น้ำ รวมทั้งกระแสหมุนเวียนของน้ำที่เป็นระบบทะเลนอก และทะเลใน กล่าวคือว่า น้ำทะเลตั้งแต่หัวไทร ปากพนัง แหมตลุมพุกจะไหลพามวลน้ำจากด้านใต้มาทิศเหนือ และทางด้านอำเภอขนอม สิชล กระแสน้ำจะไหลลงมาทิศใต้ ทำให้กระแสน้ำไหลเวียนวนทวนเข็มนาฬิกา เข้าสู่อ่าวท่าศาลา ส่งผลให้สัตว์น้ำเข้ามาอยู่บริเวณอ่าวท่าศาลา จนมีความอุดมสมบูรณ์ ประกอบกับหน้าดินซึ่งเป็นดินโคลนน้ำไม่ลึกมากนัก เป็นอาหารที่สำคัญสำหรับสัตว์น้ำหน้าดิน และสัตว์น้ำวัยอ่อน”
วันนี้ บริเวณอ่าวท่าศาลาเกือบสามสิบกิโลเมตรทางด้านทิศใต้ ดินดอนปากแม่น้ำก่อตัวสูงขึ้น กลายเป็นพื้นที่หาดโคลน มีป่าชายเลนเกิดขึ้นหลายพันไร่ เป็นที่อนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนได้เป็นอย่างดี ทางทิศเหนือตะกอนเลนที่เกิดแนวชายฝั่งจะลดลง น้ำทะเลท่วมถึง จึงยังคงเป็นดินตะกอนปากแม่น้ำเหมือนเดิม ชาวประมงเรียก ติดปากว่า “ดอน” หรือ “ฮัน”
อาจารย์วิชาญกล่าวเสริมว่า “ดอนใต้ทะเลเป็นแหล่งวางไข่ของปลาโดยธรรมชาติด้วย เนื่องจากเมื่อตะกอนที่แม่น้ำพัดพาลงมา โดนกระแสน้ำในทะเลที่ไหลวน กองตะกอนเลนจะรวมตัว อีกทั้งซากพืชซากสัตว์ เปลือกหอยต่างๆ จ ะทับถมเมื่อนานเข้าจะแข็งตัวตามธรรมชาติ สัตว์น้ำต่างๆ จึงอาศัย และเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของระบบนิเวศ”
อ่าวทองคำท่าศาลาบริเวณด้านทิศเหนือ ยังเป็นหาดทรายสวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยว รวมทั้งยังอยู่ในแผนการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือที่เรียกว่า “โครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด” ทำให้สภาพัฒน์กำหนดพื้นที่บริเวณอำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีรองรับการขยายตัวจากมาบตาพุด ทำให้โครงการขนาดใหญ่ทะลักเข้ามาในพื้นที่หลายสิบโครงการ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าถ่านหิน ส่งผลให้ชาวบ้านที่นี่รวมตัวกันต่อสู้ แม้ว่าปัจจุบัน ยังไม่มีโครงการใดสามารถก่อสร้างได้ เพราะชุมชนได้นำเสนอข้อมูล และข้อเท็จจริงของอ่าวทองคำ ที่เป็นแหล่งอาหารทางทะเลที่สำคัญ ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจท้องถิ่น และสัตว์น้ำที่ส่งออกไปขายทั้งตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ
แต่ด้วยความพยายามของรัฐบาล และบริษัทเอกชนข้ามชาติ ที่มองการพัฒนา และความเจริญทางวัตถุเพียงด้านเดียวก็รุกพื้นที่อย่างหนัก และใช้กระบวนการมีส่วนร่วมที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเพื่อเป็นฐานสนับสนุนการขุดเจาะปิโตรเลียมในอ่าวไทยของบริษัท เชฟรอน สำรวจและผลิต จำกัด ผ่าน EIA ท่ามกลางข้อกังวล และข้อสงสัยของประชาชนจำนวนมาก เพราะข้อมูลที่ถูกหยิบยกสวนทางกับข้อเท็จจริงของพื้นที่โดยสิ้นเชิง
โดยบริษัทที่ปรึกษาการทำอีไอเอรายงานว่า อ่าวทองคำท่าศาลาไม่มีระบบนิเวศที่อาจส่งผลกระทบต่อการสร้างของโครงการ อีกทั้งที่นี่มีการทำประมงน้อยมาก และมีคนได้รับผลกระทบทางการประมงเพียง ๗๕ ครัวเรือน นั่นหมายถึงมีเรือประมงไม่กี่สิบลำ โดยทางบริษัทได้จำกัดขอบเขตการศึกษาไว้รอบโครงการเพียง ๕ กิโลเมตร และนับเรือประมงที่จอดในบริเวณนั้น
ทั้งที่ข้อเท็จจริง เรือประมงของที่นี่ ทั้งเรือประมงพื้นบ้าน และเรือประมงพาณิชย์มีจำนวนเกือบสองพันลำ และจอดกระจายตลอดแนวชายฝั่งอำเภอท่าศาลา ทั้งนี้เพราะบริเวณที่ตั้งของโครงการบริเวณหลังท่าเป็นที่ดินเอกชน จึงไม่มีแพปลา และไม่มีเรือประมงขึ้นจอด
นายทรงชัย เส้งโสต ประมงอำเภอท่าศาลา ออกมายืนยันเรื่องนี้ว่า “การทำงานของบริษัทที่ลงมาศึกษาเรื่องนี้ ไม่เคยขอข้อมูลอำเภอเลย จากการทำงานยืนยันว่าทะเลที่นี่ไม่ได้ร้าง ไม่ได้มีเรือแค่สี่ห้าลำตามที่เข้าใจ แต่มีเรือทั้งในอำเภอท่าศาลา และเรือจากที่อื่นมาทำมาหากินไม่ต่ำกว่าสองพันลำ จุดนี้ชี้ให้เห็นว่า ทะเลที่นี่อุดมสมบูรณ์ เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา อำเภอท่าศาลายังจัดงานเทศกาลประจำปี รวมพลคนกินปลา และของดีท่าศาลาเมืองน่าอยู่ มันสะท้อนว่า เพราะทะเลมีปลา จึงมีกิจกรรมแบบนี้เกิดขึ้น”
ประสิทธิชัย หนูนวล นักวิชาการด้านการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน ได้ทำการวิจัยร่วมกับชุมชนท่าศาลามาสามปี เผยว่า “จากตัวเลขทางการประมง มีการจ้างงานไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ คน เฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการทำประมงเพียงอย่างเดียว และสัตว์น้ำที่นี่จำหน่ายในจังหวัดประมาณ ๕๐ ตลาด ส่งไปจำหน่ายในจังหวัดใกล้เคียง และสัตว์น้ำเศรษฐกิจบางชนิดยังส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการทำประมงอีกมาก เช่น แม่ค้า การแปรรูป เครื่องมือประมง ร้านอาหารซีฟูด ล้วนพึ่งพิงการทำประมงจากที่นี่ทั้งสิ้น”
และ นายสุพร โต๊ะเส็น นายกสมาคมเครือข่ายประมงพื้นบ้านอ่าวท่าศาลา ออกมายืนยันว่า “วันนี้ที่อ่าวทองคำท่าศาลา ที่ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อประกาศว่า ทะเลท่าศาลาไม่ได้ร้าง แต่เป็นทะเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ พร้อมที่จะเป็นแหล่งผลิตอาหารให้แก่คนทั้งประเทศ และยังเป็นความยั่งยืนของการพัฒนาท้องถิ่นตามศักยภาพของทรัพยากรในพื้นที่ ชาวประมงต้องทำอาชีพประมง เพราะเราถนัด และเป็นอาชีพที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หากสร้างท่าเรือขึ้นมา อาชีพประมงหลายพันคนจะล่มสลายทันที”
ทางสองแพร่งของการพัฒนาจึงเกิดขึ้นที่นี่ อนาคตที่นี่จะเป็น “แหล่งอุตสาหกรรม” หรือ “แหล่งผลิตอาหาร” คำตอบของวันนี้จึงไม่ใช่คำตอบของคนท่าศาลาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นคำตอบของทุกคน