ตรัง - เผยสถิติอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดตรังสูงที่ 1 ของภาคใต้ ผู้ขับขี่รถ จยย.ยังไม่ทำ พ.ร.บ.อีกเป็นจำนวนมาก บริษัทกลางผุดโครงการออกรณรงค์อย่างเต็มที่
นายสหัสวรรษ หนูแม่น ผู้จัดการบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัย จำกัด สาขาตรัง เปิดเผยว่า จากข้อมูลของทางบริษัทที่ได้เก็บรวบรวมเอาไว้ในระดับประเทศพบว่า ขณะนี้จังหวัดตรังมีตัวเลขอุบัติเหตุทางถนนสูงติดอันดับที่ 1 ของภาคใต้ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2555 หรือ 6 เดือนที่ผ่านมา มีทายาทผู้เสียชีวิตมายื่นเรื่องขอค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจักรยานยนต์ ประมาณ 45 ราย แต่ในความเป็นจริงแล้วคงมีตัวเลขที่สูงมากกว่านี้ เนื่องจากยังมีชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมาก หรือประมาณ 40% ที่ยังไม่นำรถจักรยานยนต์มาทำ พ.ร.บ.ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และหมดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทางบริษัทกำลังรีบเร่งหาทางแก้ไขอยู่
ทั้งนี้ จากการสอบถามชาวตรังที่ยังไม่นำรถจักรยานยนต์มาทำ พ.ร.บ. พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ขับขี่รถอยู่ตามพื้นที่ชนบท และเข้าใจไปว่าคงไม่ค่อยจะเกิดอุบัติเหตุทางถนน แต่แท้จริงแล้วจากข้อมูลที่รวบรวมมากลับพบว่า จุดที่มีความเสี่ยง และเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุดก็คือ ในพื้นที่ชนบท ซึ่งผู้ที่ไม่ได้ทำ พ.ร.บ. จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้น 15,000 บาทเอง โดยที่ไม่สามารถนำบัตร 30 บาท หรือบัตรทองมาใช้ทดแทนได้ และยังอาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้ซ้อนท้าย และคู่กรณีด้วย โดยเฉพาะการที่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
นอกจากนั้น ชาวบ้านบางส่วนยังเข้าใจผิดว่า รถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้เสียภาษีขนส่งประจำปีจะไม่สามารถนำมาทำ พ.ร.บ.ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนละเรื่องกัน จนหลายรายต้องสูญเสียโอกาสเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางถนนขึ้น
ปัจจุบัน การทำ พ.ร.บ.มีความง่าย และรวดเร็วมาก เพียงแค่นำหลักฐานเลขตัวถังรถ ยี่ห้อ ซีซี มาแจ้ง เจ้าหน้าที่ก็สามารถออก พ.ร.บ.ให้ได้ภายในเวลาแค่ 1 นาที และเสียค่าใช้จ่ายแค่เพียงคันละ 323 บาท หรือเฉลี่ยวันละ 10 บาท โดยคุ้มค่ามากหากเทียบกับความคุ้มครองที่จะได้รับทั้งปี ทั้งผู้ขับขี่ คนซ้อนท้าย และคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล รายละ 15,000-50,000 บาท หรือค่าทำศพ รายละ 200,000 บาท ซึ่งพร้อมจะจ่ายให้ภายใน 48 ชม. หากมีหลักฐานชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เพื่อดึงให้ชาวบ้านที่เหลืออีก 40% นำรถจักรยานยนต์มาทำ พ.ร.บ. ทางบริษัท กลางฯ จึงได้จัดโครงการเคลื่อนที่ไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก ควบคู่กับการจัดโครงการชมรมถนนปลอดภัยในสถานศึกษา โดยดึงกลุ่มเด็ก และเยาวชนมากระตุ้นเพื่อลดปัญหา
นายสหัสวรรษ หนูแม่น ผู้จัดการบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัย จำกัด สาขาตรัง เปิดเผยว่า จากข้อมูลของทางบริษัทที่ได้เก็บรวบรวมเอาไว้ในระดับประเทศพบว่า ขณะนี้จังหวัดตรังมีตัวเลขอุบัติเหตุทางถนนสูงติดอันดับที่ 1 ของภาคใต้ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2555 หรือ 6 เดือนที่ผ่านมา มีทายาทผู้เสียชีวิตมายื่นเรื่องขอค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจักรยานยนต์ ประมาณ 45 ราย แต่ในความเป็นจริงแล้วคงมีตัวเลขที่สูงมากกว่านี้ เนื่องจากยังมีชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมาก หรือประมาณ 40% ที่ยังไม่นำรถจักรยานยนต์มาทำ พ.ร.บ.ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และหมดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทางบริษัทกำลังรีบเร่งหาทางแก้ไขอยู่
ทั้งนี้ จากการสอบถามชาวตรังที่ยังไม่นำรถจักรยานยนต์มาทำ พ.ร.บ. พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ขับขี่รถอยู่ตามพื้นที่ชนบท และเข้าใจไปว่าคงไม่ค่อยจะเกิดอุบัติเหตุทางถนน แต่แท้จริงแล้วจากข้อมูลที่รวบรวมมากลับพบว่า จุดที่มีความเสี่ยง และเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุดก็คือ ในพื้นที่ชนบท ซึ่งผู้ที่ไม่ได้ทำ พ.ร.บ. จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้น 15,000 บาทเอง โดยที่ไม่สามารถนำบัตร 30 บาท หรือบัตรทองมาใช้ทดแทนได้ และยังอาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้ซ้อนท้าย และคู่กรณีด้วย โดยเฉพาะการที่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
นอกจากนั้น ชาวบ้านบางส่วนยังเข้าใจผิดว่า รถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้เสียภาษีขนส่งประจำปีจะไม่สามารถนำมาทำ พ.ร.บ.ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนละเรื่องกัน จนหลายรายต้องสูญเสียโอกาสเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางถนนขึ้น
ปัจจุบัน การทำ พ.ร.บ.มีความง่าย และรวดเร็วมาก เพียงแค่นำหลักฐานเลขตัวถังรถ ยี่ห้อ ซีซี มาแจ้ง เจ้าหน้าที่ก็สามารถออก พ.ร.บ.ให้ได้ภายในเวลาแค่ 1 นาที และเสียค่าใช้จ่ายแค่เพียงคันละ 323 บาท หรือเฉลี่ยวันละ 10 บาท โดยคุ้มค่ามากหากเทียบกับความคุ้มครองที่จะได้รับทั้งปี ทั้งผู้ขับขี่ คนซ้อนท้าย และคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล รายละ 15,000-50,000 บาท หรือค่าทำศพ รายละ 200,000 บาท ซึ่งพร้อมจะจ่ายให้ภายใน 48 ชม. หากมีหลักฐานชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เพื่อดึงให้ชาวบ้านที่เหลืออีก 40% นำรถจักรยานยนต์มาทำ พ.ร.บ. ทางบริษัท กลางฯ จึงได้จัดโครงการเคลื่อนที่ไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก ควบคู่กับการจัดโครงการชมรมถนนปลอดภัยในสถานศึกษา โดยดึงกลุ่มเด็ก และเยาวชนมากระตุ้นเพื่อลดปัญหา
