คอลัมน์ : ด้ามขวานผ่าซาก
โดย...ปิยะโชติ อินทรนิวาส
ขอชื่นชม “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ที่สร้างการเตือนย้ำให้สังคมได้เห็น และเข้าใจความเที่ยงแท้ในตัวตนที่แท้จริงของเขาอีกคราครั้ง
โดยเฉพาะใน 2 บทบาทหลักที่สะท้อนตัวตนคือ ในฐานะ “นักธุรกิจ” กับในฐานะ “สื่อมวลชน” ซึ่งทับซ้อนกันไปมา และได้ถูกชี้ชัดจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่ามีพฤติกรรมกระทำผิดร้ายแรง อันเป็นการขัดต่อจรรยาบรรณของทั้ง 2 วิชาชีพ แต่เขาก็ยังสามารถเชิดหน้าชูคอแบบไม่ยีหระต่อคำครหาใดๆ ขณะที่ปากกระเป๋าก็ยังเปิดอ้ารอรับผลประโยชน์ต่อไปได้อย่างไม่เคอะเขิน
ในฐานะนักธุรกิจสื่อ สรยุทธถือว่าเก่งกาจสมชื่อ “ผู้แกล้วกล้าในการยุทธ์” ผู้สวมเสื้อคนสื่อทำธุรกิจได้อย่างแพรวพราวกลยุทธ์ เท่าทันกลเกม แถมมากมายไปด้วยเหลี่ยมเล่ห์ เชี่ยวชาญการชิงไหว ชิงพริบ และชิงตัดหน้าชนิดหาตัวจับยาก โดยเฉพาะการสร้างแบรนด์ให้แก่ตัวเองจนเป็นจุดขายทางการตลาดบนจอทีวี
เขาใช้เวลาทำงานสื่อไม่นานก็สามารถก้าวขึ้นเป็นเจ้าของ 2 บริษัทรับเหมา และรับจ้างผลิตงานสื่อทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้คนคือ “บริษัท ไร่ส้ม จำกัด” กับ “บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด” แล้วใช้เวลาทำธุรกิจเพียงไม่กี่ปีก็สร้างความฮือฮาให้แก่วงการด้วยการปั้นรายได้ และกำไรหลายร้อยล้านบาท จนได้เป็นพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ว่า...
“สรยุทธ รวยเละ!”
เฉพาะบริษัทไร่ส้มเป็นที่กล่าวขานกันว่า “ไร่ส้มคือสรยุทธ สรยุทธคือไร่ส้ม” จดทะเบียนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2547 ด้วยทุน 1 ล้านบาท เขาถือหุ้น 99.9% ผลประกอบการเป็นไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย โดยเฉพาะแค่ 3 ปีแรกก็ฟันรายได้ถึง 782.6 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นกำไรสุทธิถึงกว่า 318 ล้านบาท
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัทไร่ส้มมีผลประกอบการปีแรกคือปี 2548 มีรายได้ถึง 251.8 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 132.7 ล้านบาท และมีสินทรัพย์ 134.8 ล้านบาท พอปีที่สอง 2549 มีรายได้เพิ่มเป็น 323 ล้านบาท กำไรสุทธิ 86 ล้านบาท และสินทรัพย์ 104.9 ส่วนปีที่สาม 2550 มีรายได้ 207.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 99.3 ล้านบาท และสินทรัพย์ 140.6 ล้านบาท
ในฐานะสื่อมวลชน หลังจบจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เขาได้ใช้หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นเป็นที่ไต่เต้า จากนักข่าวประจำสภา ทำเนียบ กลับเข้าประจำกอง บก. ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าข่าว บก.ข่าวการเมือง ซึ่งก็ได้อาศัยเป็นช่องทางสู่หน้าจอทีวีในตอนนั้น ภายใต้การเปิดทาง และให้การสนับสนุนของสุทธิชัย หยุ่น เมื่อปีกกล้าขาแข็งก็ถีบหัวเรือถลาออกไปโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรสื่อทีวี
ปัจจุบัน สรยุทธมีรายการทางช่อง 3 ประกอบด้วย เรื่องเล่าเช้านี้ เรื่องเด่นเย็นนี้ เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ อดีตเคยทำรายการจับเข่าคุย และกล่องวิเศษทางช่อง 3 รายการคุยคุ้ยข่าว และถึงลูกถึงคนที่ช่อง 9 รายการก๊วนกวนข่าว คมชัดลึก และเก็บตกจากเนชั่น ทางเนชั่นแชนแนล รวมถึงรายการไอทีวีทอล์ก ฟังความรอบข้าง เวทีไอทีวี และวิเคราะห์ข่าวทางไอทีวี
ในวันนี้ เขาถูกตั้งฉายาให้มากมายไม่ว่าจะเป็น ป๋าเสี้ยม บ่าง สรพิษ สรยวย สรย้วย นายกฯ ตัวจริง ซูเปอร์แมนข่าว ฮีโร่น้ำท่วม เสี่ยสอ พ่อค้าข่าว ฯลฯ แต่ที่ต้องถือว่าโดดเด่นเป็นที่สุดก็ในฐานะนักเล่าข่าวที่มีสมญานามว่า...
“เจ้าพ่อนิวส์ทอล์ก (News talk)”
ผู้ที่มีความเก่งฉกาจฉกรรจ์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยในการลอกข่าวจากหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ จากสื่ออื่นๆ ในทุกรูปแบบ และจากทุกค่ายไปใช้โดยไม่ให้เครดิตได้อย่างหน้าตาเฉย อีกทั้งเป็นผู้มากความสามารถในการปรับเปลี่ยนแปลสารให้ชาวบ้านร้านตลาดเสพได้อย่างอิ่มเอมในอรรถรส แม้จะมากมายไปด้วยบทสรุปจากความทรงจำที่ไม่ค่อยจะแจ่มชัดอยู่บ่อยๆ ที่ว่า...
“ถ้าผมจำไม่ผิด”
หรือหากเริ่มไม่แน่ใจก็จะใช้คำว่า...
“รึยังไง ก็ต้องดูกันอีกที”
นอกจาก 2 บทบาทที่ฉายชัดความเป็นนักธุรกิจสื่อ และสื่อมวลชนแล้ว หากวิเคราะห์ถึงตัวตน รวมถึงพฤติกรรม ก็ควรต้องจัดว่าสรยุทธมีความโดดเด่นยิ่งในอีก 2 บทบาทคือ “นักการเมือง” และ “ซูเปอร์สตาร์”
แม้จะยังไม่ได้เป็นในวันนี้ แต่เขามีความเป็นนักการเมืองแทบจะครบทุกกระเบียดนิ้วมานานแล้ว มีความชำนาญในแทบทุกสิ่งที่นักการเมืองกระทำ เชี่ยวชาญการสร้างภาพให้แก่ตัวเอง พวกพ้อง รวมถึงผู้หยิบยื่นผลประโยชน์ให้ กะล่อนครบเครื่อง รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง รู้ช่วงจังหวะว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจ มุ่งมั่นเดินหน้าแสวงหาประโยชน์ และที่สำคัญ มีความหน้าด้านหน้าทนไม่แพ้นักการเมืองไทยคนไหนๆ เลย
ไม่ต้องอะไรมาก แค่เปรียบเทียบกับผู้นำเบอร์ 1 ของรัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สรยุทธก็กินขาดในทุกด้านที่กล่าวมาข้างต้น
โดยเฉพาะการแสดงออกซึ่งความเอ๋อๆ และติ๊งต๊องของคนแรกนั้นต้องจัดว่าอยู่ในสายเลือด แต่สำหรับการเล่าข่าวของฝ่ายหลังเป็นความตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะความรู้ความสามารถที่ปูพื้นฐานมาจากนักข่าว และ บก.ข่าวการเมือง มีหรือจะไม่รู้และเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
สำหรับความเป็นซูเปอร์สตาร์เขาก็ไม่น้อยหน้าใครในวงการ มิพักต้องพูดถึงวงการนักเล่าข่าว เอาแค่นักเขียนก็กระหึ่มยิ่งแล้ว เคยเป็นคอลัมนิสต์ให้แก่นิตยสารแพรว หนังสือพิมพ์คมชัดลึก มีงานเขียนเป็นเล่มขายดีประกอบด้วย กรรมกรข่าว กรรมกรข่าว 2 งานรับเหมา คุยนอกสนาม และคมชัดลึก
บทบาทซูเปอร์สตาร์บนจอทีวีก็มีรางวัลการันตีมากมาย เช่น รางวัลเทพทองพระราชทาน โทรทัศน์ทองคำ ท็อปอวอร์ดส 3 ปี สตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์อวอร์ดส 2 ปี เกิดอวอร์ดสาขาเกิดมาให้ และรางวัลนิตยสารเปรียว
เหล่านี้จึงส่งผลให้มีความโดดเด่นในฐานะ “คนของประชาชน” แม้หลายปีมานี้จะมีเรื่องราวไม่ดีไม่งามมากมายที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็แทบไม่ทำให้ระคายเคืองผิวของเขาสักเท่าไหร่
ทว่า ล่าสุดที่ ป.ป.ช.ชี้มูลว่า บริษัทไร่ส้มที่เขาเป็นเจ้าของ และนั่งบริหารอยู่มีความผิดฐานร่วมกับเจ้าหน้าที่บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ยักยอกเงินค่าโฆษณาของ อสมท ไปถึงกว่า 138 ล้านบาท แม้จะอ้างว่ามีการคืนเงินกันไปแล้ว แต่ความผิดที่กระทำก็เป็นผลสำเร็จไปแล้วเช่นกัน
มีคำเปรียบเปรยว่า “ไร่ส้ม” เหมือนกับสังคมที่มากมายไปด้วยสิ่งหอมหวาน เต็มไปด้วยผลประโยชน์ที่จะตักตวงได้ง่าย ถ้าสื่อมวลชนที่เปรียบเหมือน “นกพิราบ” ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เฝ้าไร่ส้ม แม้จะเป็นนกตัวน้อยๆ แต่ถ้าขาดจรรยาบรรณ แทนที่จะทำหน้าที่กินหนอน หรือแมลงที่เป็นศัตรูของพืช กลับไปกัดกินผลส้มที่หอมหวานเสียเอง เมื่อนั้นสังคมเราก็จะอยู่ไม่ได้
ในวันที่ไร่ส้มประสบปัญหาร้ายแรง โดยคนทำหน้าที่เฝ้าไร่ส้มก็มีส่วนอย่างสำคัญในการก่อปัญหาร้ายแรงนั้น
แม้จนถึงวันนี้ สรยุทธยังหาได้แสดงความรับผิชอบใดๆ ไม่ต่อเรื่องราวสุดอื้อฉาว ขณะที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ก็ยังให้เขาทำหน้าที่พิธีกรข่าวต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน โดยทั้ง 2 ฝ่ายทำเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่ากำลังมีปัญหาที่กระทบต่อประเทศชาติ และประชาชน
เช่นนี้แล้วก็อยากชื่นชม สรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้ดังๆ อีกครั้งว่า...นายแน่มาก?!?!
และในฐานะคนสื่อขอบอก สรยุทธ สุทัศนะจินดา ด้วยว่า...นายด้านได้ใจมาก?!?!