โดย...สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ
วันนี้ผู้เขียนอยากจะพูดถึงสัตว์ทะเลสองชนิดที่เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยมาช้านาน ชนิดหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า เคยเป็นอาหารประจำชาติของคนไทย ที่ไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจระดับไหนก็สามารถหารับประทานได้ไม่ยาก เพราะมีราคาย่อมเยา หาซื้อได้ง่าย อาหารชนิดนี้ก็คือ...
“ปลาทู”
ส่วนชนิดที่สอง เป็นอาหารทะเลราคาแพง ส่วนใหญ่จะรับประทานกันในโอกาสพิเศษ หรือเวลามีโอกาสไปเที่ยวทะเลที่เป็นแหล่งผลิตจริงๆ อาหารที่ว่านี้ก็คือ...
“ปูม้า”
“ปลาทู” ในประเทศไทยส่วนใหญ่เกิด และเจริญเติบโตในทะเลฝั่งอ่าวไทย มีวงจรชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายอยู่ในทะเลบริเวณจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ไล่ลงไปจนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในอดีตที่ผ่านมา ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย ทำให้ปลาทูเป็นอาหารราคาถูก แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ที่คนไทยทุกคนสามารถหารับประทานได้ง่าย
แต่ประมาณเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับราคาของเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ปลาทูกลับกลายเป็นอาหารราคาแพงสำหรับคนไทยที่มีรายได้น้อย และปลาทูที่ขายอยู่ในตลาดทั่วไป โดยส่วนใหญ่กลับเป็นปลาทูที่จับจากน่านน้ำประเทศอื่น ไม่ใช่ปลาทูเนื้อนุ่ม หวานมันของบ้านเรา
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปลาทูไทยมีราคาแพง และหาซื้อได้ยากมากขึ้นคือ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทะเลของไทย ที่เกิดจากการทำประมงด้วยเครื่องมือทำลายล้างระบบนิเวศ และจับสัตว์น้ำวัยอ่อน ได้แก่ เครื่องมือประมงอวนลาก อวนรุน และเครื่องมือประมงประกอบแสงไฟชนิดต่างๆ เป็นต้น สัตว์น้ำวัยอ่อน เช่น ลูกปลาทูที่ติดมากับอวนต่างๆ จะถูกขายไปยังโรงงานปลาป่นเพื่อทำอาหารสัตว์ (ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสองประเทศทั่วโลก ที่ผลิตปลาป่นเพื่อทำอาหารสัตว์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก) เมื่อไม่นานมานี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยหันมานิยมบริโภคลูกปลาทูตากแห้ง เพื่อเพิ่มแคลเซียมให้แก่ร่างกาย ดังนั้น ลูกปลาทูจึงเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก
ผู้เขียนมีความกังวลว่า ถ้าพฤติกรรมการบริโภคลูกปลาทูที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ถูกยับยั้ง จะส่งผลให้ปลาทูสูญพันธุ์ไปจากท้องทะเลไทยในอีกไม่ช้า
อยากจะชวนผู้อ่านทุกท่านคำนวณการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจในการบริโภคลูกปลาทูกันว่า มีมากมายมหาศาลเพียงใด ด้วยหลักคณิตศาสตร์ง่ายๆ ดังนี้ ถ้าเรารับประทานลูกปลาทู 1 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งมีลูกปลาทูประมาณ 1,000 ตัว แต่ถ้ารออีกประมาณ 6-7 เดือนให้ปลาเหล่านี้โตเต็มวัย จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 12 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 70 บาทในตลาดท้องถิ่น และประมาณ 80-120 บาทที่กรุงเทพฯ แล้วค่อยซื้อมารับประทาน จะทำปลาทูเหล่านี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 70-80 เท่าตัว
หรือโดยสรุปก็คือ ลูกปลาทู 1 กิโลกรัม ราคา 100 บาทในวันนี้ จะมีมูลค่าประมาณ 7,000-8,000 บาทในระยะเวลา 6-7 เดือนข้างหน้า และถ้าเรือประมง 1 ลำจับลูกปลาทูเที่ยวละ 1 ตัน ก็จะทำให้สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 7,000,000-8,000,000 บาทต่อการทำประมง 1 เที่ยว (ในความเป็นจริงเรือประมงพานิชย์อวนล้อมปั่นไฟขนาดใหญ่จับได้หลายตันต่อเที่ยว และมีเรือประมงชนิดนี้หลายลำด้วยกันในน่านน้ำไทย)
ผู้เขียนมีความเชื่อว่า การจับลูกปลาทูมาบริโภคทุกวันนี้มีปริมาณหลายร้อยตันต่อปี ดังนั้น มูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไปแต่ละปีมีจำนวนมหาศาล ที่สังคมไทยไม่ควรยินยอม หรือส่งเสริมให้กิจกรรมการจับ และการบริโภคลูกปลาทูให้ยังคงอยู่ต่อไป
ในทางกลับกัน “ปูม้า” ซึ่งเป็นอาหารทะเลที่หาได้ยากกว่าปลาทู ทุกวันนี้กลับได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟูจากชุมชนประมงชายฝั่งในหลายๆ พื้นที่เป็นอย่างดี ด้วยการจัดทำ “ธนาคารปูชุมชน” โดยมีการนำปูม้าที่มีไข่นอกกระดอง (ไข่สีเหลืองอ่อน และเปลี่ยนเป็นสีเทาดำเมื่อไข่แก่) ที่จับได้โดยสมาชิกชุมชนมาปล่อยในกระชังที่สร้างไว้บริเวณชายฝั่ง หรือในถัง หรือบ่อพักที่สร้างไว้บริเวณชายหาดหน้าหมู่บ้าน เพื่อให้แม่ปูม้าได้วางไข่ก่อนถูกนำไปขาย หรือบริโภค
ปูม้าที่มีไข่สีเทาอมดำจะปล่อยตัวอ่อนภายใน 1-2 วัน แม่ปูไข่นอกกระดอง 1 ตัวจะปล่อยตัวอ่อนประมาณ 250,000-2,000,000 ตัวต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของไข่ที่แม่ปูแต่ละตัวมีอยู่ ไข่ปูม้า 1 กรัมมีปริมาณไข่ประมาณ 22,030 ฟอง
จากการคำนวณด้วยคณิตศาสตร์ง่ายๆ ผู้เขียนพบว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รับจากธนาคารปูชุมชน 1 แห่ง มีมูลค่ามหาศาล โดยมีรายละเอียดดังนี้ ถ้าอัตราการรอดของลูกปูที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเลอยู่ที่ร้อยละ 1 เราก็จะได้ปริมาณปูในทะเลเพิ่มขึ้นประมาณ 2,500-10,000 ตัวต่อแม่ปูไข่ 1 ตัว ถ้าธนาคารปู 1 แห่ง มีแม่ปูไข่นอกกระดอง 30 ตัวต่อเดือน หรือ 360 ตัวต่อปี จะพบว่า ธนาคารปูนั้นๆ สามารถเพิ่มประชากรปูม้าให้แก่ท้องทะเลได้ปีละ 900,000-7,200,200 ตัว และถ้าชาวประมงจับปูม้าเหล่านี้เมื่อโตเต็มวัยขนาด 6 ตัวต่อ 1 กิโลกรัมไปขา ยกิโลกรัมละ 200 บาท ชาวประมงเหล่านี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 30-240 ล้านบาทต่อปี
การเปรียบเทียบสองกรณีข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า ถ้าพฤติกรรมของคนในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค ชาวประมงพาณิชย์ และชาวประมงพื้นบ้าน ยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต ปลาทูอาจกลายเป็นสัตว์น้ำที่หายาก และมีราคาแพง หรือสูญพันธุ์ไปจากท้องทะเลไทย แต่ปูม้าอาจจะกลับกลายเป็นอาหารที่หาได้ง่าย และราคาถูกลงก็เป็นได้
ดังนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารทะเลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางชีววิทยาของสัตว์ชนิดนั้นๆ เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคที่ต้องไม่มีพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นการตัดวงจรชีวิตสัตว์น้ำ การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายไม่ให้มีการจับสัตว์น้ำวัยอ่อน หรือเครื่องมือประมงที่ทำลายล้าง และส่งเสริมให้เกิดการอนุรุกษ์ และฟื้นฟูทรัพยากร ตลอดจนการมีจิตสำนึกที่ดีของชาวประมงในการทำประมงอย่างรับผิดชอบต่อระบบนิเวศ และทรัพยากรธรรมชาติอีก และเคารพสิทธิของผู้อื่นอีกด้วย
วันนี้ผู้เขียนอยากจะพูดถึงสัตว์ทะเลสองชนิดที่เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยมาช้านาน ชนิดหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า เคยเป็นอาหารประจำชาติของคนไทย ที่ไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจระดับไหนก็สามารถหารับประทานได้ไม่ยาก เพราะมีราคาย่อมเยา หาซื้อได้ง่าย อาหารชนิดนี้ก็คือ...
“ปลาทู”
ส่วนชนิดที่สอง เป็นอาหารทะเลราคาแพง ส่วนใหญ่จะรับประทานกันในโอกาสพิเศษ หรือเวลามีโอกาสไปเที่ยวทะเลที่เป็นแหล่งผลิตจริงๆ อาหารที่ว่านี้ก็คือ...
“ปูม้า”
“ปลาทู” ในประเทศไทยส่วนใหญ่เกิด และเจริญเติบโตในทะเลฝั่งอ่าวไทย มีวงจรชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายอยู่ในทะเลบริเวณจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ไล่ลงไปจนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในอดีตที่ผ่านมา ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย ทำให้ปลาทูเป็นอาหารราคาถูก แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ที่คนไทยทุกคนสามารถหารับประทานได้ง่าย
แต่ประมาณเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับราคาของเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ปลาทูกลับกลายเป็นอาหารราคาแพงสำหรับคนไทยที่มีรายได้น้อย และปลาทูที่ขายอยู่ในตลาดทั่วไป โดยส่วนใหญ่กลับเป็นปลาทูที่จับจากน่านน้ำประเทศอื่น ไม่ใช่ปลาทูเนื้อนุ่ม หวานมันของบ้านเรา
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปลาทูไทยมีราคาแพง และหาซื้อได้ยากมากขึ้นคือ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทะเลของไทย ที่เกิดจากการทำประมงด้วยเครื่องมือทำลายล้างระบบนิเวศ และจับสัตว์น้ำวัยอ่อน ได้แก่ เครื่องมือประมงอวนลาก อวนรุน และเครื่องมือประมงประกอบแสงไฟชนิดต่างๆ เป็นต้น สัตว์น้ำวัยอ่อน เช่น ลูกปลาทูที่ติดมากับอวนต่างๆ จะถูกขายไปยังโรงงานปลาป่นเพื่อทำอาหารสัตว์ (ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสองประเทศทั่วโลก ที่ผลิตปลาป่นเพื่อทำอาหารสัตว์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก) เมื่อไม่นานมานี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยหันมานิยมบริโภคลูกปลาทูตากแห้ง เพื่อเพิ่มแคลเซียมให้แก่ร่างกาย ดังนั้น ลูกปลาทูจึงเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก
ผู้เขียนมีความกังวลว่า ถ้าพฤติกรรมการบริโภคลูกปลาทูที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ถูกยับยั้ง จะส่งผลให้ปลาทูสูญพันธุ์ไปจากท้องทะเลไทยในอีกไม่ช้า
อยากจะชวนผู้อ่านทุกท่านคำนวณการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจในการบริโภคลูกปลาทูกันว่า มีมากมายมหาศาลเพียงใด ด้วยหลักคณิตศาสตร์ง่ายๆ ดังนี้ ถ้าเรารับประทานลูกปลาทู 1 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งมีลูกปลาทูประมาณ 1,000 ตัว แต่ถ้ารออีกประมาณ 6-7 เดือนให้ปลาเหล่านี้โตเต็มวัย จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 12 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 70 บาทในตลาดท้องถิ่น และประมาณ 80-120 บาทที่กรุงเทพฯ แล้วค่อยซื้อมารับประทาน จะทำปลาทูเหล่านี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 70-80 เท่าตัว
หรือโดยสรุปก็คือ ลูกปลาทู 1 กิโลกรัม ราคา 100 บาทในวันนี้ จะมีมูลค่าประมาณ 7,000-8,000 บาทในระยะเวลา 6-7 เดือนข้างหน้า และถ้าเรือประมง 1 ลำจับลูกปลาทูเที่ยวละ 1 ตัน ก็จะทำให้สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 7,000,000-8,000,000 บาทต่อการทำประมง 1 เที่ยว (ในความเป็นจริงเรือประมงพานิชย์อวนล้อมปั่นไฟขนาดใหญ่จับได้หลายตันต่อเที่ยว และมีเรือประมงชนิดนี้หลายลำด้วยกันในน่านน้ำไทย)
ผู้เขียนมีความเชื่อว่า การจับลูกปลาทูมาบริโภคทุกวันนี้มีปริมาณหลายร้อยตันต่อปี ดังนั้น มูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไปแต่ละปีมีจำนวนมหาศาล ที่สังคมไทยไม่ควรยินยอม หรือส่งเสริมให้กิจกรรมการจับ และการบริโภคลูกปลาทูให้ยังคงอยู่ต่อไป
ในทางกลับกัน “ปูม้า” ซึ่งเป็นอาหารทะเลที่หาได้ยากกว่าปลาทู ทุกวันนี้กลับได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟูจากชุมชนประมงชายฝั่งในหลายๆ พื้นที่เป็นอย่างดี ด้วยการจัดทำ “ธนาคารปูชุมชน” โดยมีการนำปูม้าที่มีไข่นอกกระดอง (ไข่สีเหลืองอ่อน และเปลี่ยนเป็นสีเทาดำเมื่อไข่แก่) ที่จับได้โดยสมาชิกชุมชนมาปล่อยในกระชังที่สร้างไว้บริเวณชายฝั่ง หรือในถัง หรือบ่อพักที่สร้างไว้บริเวณชายหาดหน้าหมู่บ้าน เพื่อให้แม่ปูม้าได้วางไข่ก่อนถูกนำไปขาย หรือบริโภค
ปูม้าที่มีไข่สีเทาอมดำจะปล่อยตัวอ่อนภายใน 1-2 วัน แม่ปูไข่นอกกระดอง 1 ตัวจะปล่อยตัวอ่อนประมาณ 250,000-2,000,000 ตัวต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของไข่ที่แม่ปูแต่ละตัวมีอยู่ ไข่ปูม้า 1 กรัมมีปริมาณไข่ประมาณ 22,030 ฟอง
จากการคำนวณด้วยคณิตศาสตร์ง่ายๆ ผู้เขียนพบว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รับจากธนาคารปูชุมชน 1 แห่ง มีมูลค่ามหาศาล โดยมีรายละเอียดดังนี้ ถ้าอัตราการรอดของลูกปูที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเลอยู่ที่ร้อยละ 1 เราก็จะได้ปริมาณปูในทะเลเพิ่มขึ้นประมาณ 2,500-10,000 ตัวต่อแม่ปูไข่ 1 ตัว ถ้าธนาคารปู 1 แห่ง มีแม่ปูไข่นอกกระดอง 30 ตัวต่อเดือน หรือ 360 ตัวต่อปี จะพบว่า ธนาคารปูนั้นๆ สามารถเพิ่มประชากรปูม้าให้แก่ท้องทะเลได้ปีละ 900,000-7,200,200 ตัว และถ้าชาวประมงจับปูม้าเหล่านี้เมื่อโตเต็มวัยขนาด 6 ตัวต่อ 1 กิโลกรัมไปขา ยกิโลกรัมละ 200 บาท ชาวประมงเหล่านี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 30-240 ล้านบาทต่อปี
การเปรียบเทียบสองกรณีข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า ถ้าพฤติกรรมของคนในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค ชาวประมงพาณิชย์ และชาวประมงพื้นบ้าน ยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต ปลาทูอาจกลายเป็นสัตว์น้ำที่หายาก และมีราคาแพง หรือสูญพันธุ์ไปจากท้องทะเลไทย แต่ปูม้าอาจจะกลับกลายเป็นอาหารที่หาได้ง่าย และราคาถูกลงก็เป็นได้
ดังนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารทะเลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางชีววิทยาของสัตว์ชนิดนั้นๆ เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคที่ต้องไม่มีพฤติกรรมการบริโภคที่เป็นการตัดวงจรชีวิตสัตว์น้ำ การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายไม่ให้มีการจับสัตว์น้ำวัยอ่อน หรือเครื่องมือประมงที่ทำลายล้าง และส่งเสริมให้เกิดการอนุรุกษ์ และฟื้นฟูทรัพยากร ตลอดจนการมีจิตสำนึกที่ดีของชาวประมงในการทำประมงอย่างรับผิดชอบต่อระบบนิเวศ และทรัพยากรธรรมชาติอีก และเคารพสิทธิของผู้อื่นอีกด้วย