เมือง ไม้ขม
ทุกครั้งที่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นวันต่อวันในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ที่รับผิดชอบของหน่วยงานความมั่นคง คือ กองทัพ และ กอ.รมน. จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เรายังไม่มีอะไรที่เสียหาย ดินแดนเราแม้แต่ตารางนิ้วเดียวก็ยังไม่ได้ถูกยึดเอาไป อธิปไตยก็ไม่ได้ถูกรุกราน และขบวนการ “อาร์เคเค” ก็ไม่ได้ยึดหมู่บ้านตรงไหนเป็นป้อมค่ายเพื่อสู้รบกับกองกำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ
และประโยคต่อมา คือ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องใช้เวลาในการแก้ไข เพราะเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ อัตลักษณ์ พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่าประเทศอื่นๆ ที่มีปัญหาเหมือนเรา เขาก็มีความสูญเสีย และใช้เวลาในการแก้ปัญหาเหมือนกับเรา
แน่นอน โดยข้อเท็จจริงปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 100 ปีที่ผ่านมา หากต้องมีการสูญเสียดินแดนย่อมสูญเสียไปนานแล้ว และหลายฝ่ายก็เชื่อว่าหากการก่อการร้ายดำรงต่อไปอีกหลายสิบปี ประเทศไทยก็ไม่มีทางสูญเสียดินแดนอย่างแน่นอน เพราะลักษณะปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เหมือนกับประเทศติมอร์ ไม่เหมือนกับจังหวัดอาเจะห์ ของประเทศอินโดนีเซีย และไม่เหมือนกับจังหวัดมินดาเนา ของประเทศฟิลิปปินส์
เนื่องจากคนในพื้นที่ทั้ง 3 แห่ง ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกดินแดน เพื่อตั้งประเทศใหม่ และตั้งรัฐใหม่ เพื่อบริหารจัดการการปกครองเอง แต่คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มีความต้องการที่จะให้มีการจัดตั้งประเทศใหม่ ความคิดในเรื่องประเทศปัตตานีดารุลสลามก็ดี เขตปกครองพิเศษก็ดี เป็นการเคลื่อนไหวของผู้คนไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร การสูญเสียดินแดนแม้แต่รารางนิ้วเดียวให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนจึงไม่อาจจะเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าสถานการณ์การก่อการร้ายจะยาวนานไปกี่ปีก็ตาม
แต่สิ่งที่ประชาชน และหน่วยงานหลายหน่วยงาน รวมทั้งสื่อมวลชนที่ออกมาตอกย้ำให้รัฐเร่งหาทางดับไฟใต้โดยเร็วนั้น เพราะทนเห็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นในแผ่นดินปลายด้ามขวานไม่ไหว เพราะทุกวันจะมีคนตายอย่างน้อย 3 คนต่อวัน บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง คนเหล่านี้คือ ทรัพยากรบุคคลของชาติ รวมทั้งทรัพย์สินที่ถูกทำลายไป ซึ่งถ้ามีการประเมินเป็นตัวเลขคงจะได้หลายร้อย หรือเป็นพันล้านบาทต่อปี
นี่ยังไม่นับรวมกับงบประมาณที่ต้องสูญเสียไปกับการแก้ปัญหารายวัน เช่นเกิดเหตุการณ์คนตายหนึ่งคน เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 5 หน่วย ต้องมีภารกิจที่ต้องทำ ซึ่งต้องสูญเสียงบประมาณไปหลายพันบาท ถ้านับรวมเงินงบประมาณต่างๆ ที่กองทัพ และหน่วยงานอื่นๆ ต้องใช้ในการรักษาความปลอดภัย เช่น การคุ้มครองครู วัด โรงเรียน สถานที่ต่างๆ ลาดตระเวนถนนหนทาง แต่ละปีล้วนมากมาย เพียง 8 ปี รัฐต้องใช้งบประมาณไปแล้วเกือบสองแสนล้าน ถ้าสถานการณ์ยังยืดยาวต่อเนื่อง เพราะเป็นปัญหาที่ต้องใช้เวลาแก้ อย่างที่ขุนทหารของประเทศออกมาขู่ คำราม รัฐจะต้องใช้งบประมาณแผนดินอีกกี่หมื่นล้านในการดับไฟใต้
เอาเถอะ อย่างไรเสีย ประเทศชาติก็ต้องหางบประมาณเพื่อการ “ผลาญ” ของคนบางกลุ่มกับปัญหา “ไฟใต้” ได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ติดตามมาถ้าต้องใช้เวลาอีกนับ 10 ปี สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือ 1 ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธ ไทยเชื้อสายจีน และไทย-มุสลิมที่เป็นผู้มีคุณภาพทางการศึกษา หรือผู้มีต้นทุน มีความคิด มีหนทางจะโยกย้ายออกจากพื้นที่จนหมดสิ้น อุตสาหกรรมการลงทุนในเรื่องเศรษฐกิจจะเหลือเพียงทุนใหญ่ๆ ที่มีภูมิคุ้มกันเพียงไม่กี่กลุ่ม
นอกนั้นก็จะล้มหายจากไปจากพื้นที่ ผู้คนที่มีการศึกษาเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่น จะเหลืออยู่เพียงผู้ที่รักมาตุภูมิแผ่นดินเกิดอย่างแท้จริงเท่านั้น และสุดท้าย ดินแดนของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นดินแดนที่มีเพียงคนกลุ่มเดียว คือ กลุ่มที่ไม่มีที่ไป และด้อยคุณภาพชีวิตที่พร้อมที่จะเดินตามคำบงการของกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ และขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งจะกลายเป็นการที่ฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดนสามารถควบคุมพื้นที่โดยปริยาย ทั้งที่แผ่นดินยังเป็นของประเทศไทย
และสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในวันนี้คือ การที่กลุ่มทุนผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน ได้ดำเนินการไปแล้วหลายปีคือ การข่มขู่คนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน และคนมุสลิม ที่มีที่ดินมีเรือกสวนไร่นา ที่ตั้งอยู่ในทำเลดีๆ เพื่อขอซื้อที่ดินเหล่านั้นในราคาถูกๆ เมื่อเจ้าของไม่ยอมขายก็จะให้เครือข่ายที่เป็น “แนวร่วม” ดำเนินการฆ่าเจ้าของบ้าน เจ้าของที่ดิน ซุ่มยิงในขณะที่เดินทางไปเก็บอาสิน สุดท้ายเจ้าของที่ดินเหล่านั้นต้องเสียชีวิต ครอบครัวที่เหลือต้องอพยพโยกย้ายออกจากพื้นที่เป็นการชั่วคราว แม้ว่าที่ดินยังเป็นของตนเอง แต่ผู้เข้าไปครอบครองเพื่อเก็บผลอาสินกลายเป็นผู้มีอิทธิพล หรือการที่เจ้าของสวนต้องมอบสวนให้ผู้นำท้องถิ่น หรือผู้กว้างขวางในพื้นที่ช่วยดูแลแทน ก็เป็นเช่นเดียวกับการสูญเสียเรือกสวนไร่นาไปแล้วโดยปริยาย เพราะกลายเป็นว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นของผู้ดูแลไปแล้วถึง 80 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้น การที่รัฐบาลคิดจะใช้เงิน 1,200 ล้าน เพื่อให้ประชาชนที่เดือดร้อนที่ถูกข่มขู่ให้ขายที่ นำเอาที่ดินมาจำนองกับรัฐเพื่ออพยพไปอยู่ที่อื่นๆ รอสถานการณ์สงบแล้วค่อยกลับมา โดยไม่ต้องกลัวว่าที่ดินดังกล่าวจะตกเป็นของคนอื่นๆ เพราะรัฐไม่มีนโยบายยึดที่ดินเหล่านี้เป็นของรัฐนั้น ในด้านที่ดีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้ผู้มีอิทธิพล และแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่สามารถถือครองพื้นที่เอาไว้ได้ ที่ดินยังเป็นของเจ้าของเดิม การขยายผลทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุนที่แอบอิงกับขบวนการไม่สามารถทำได้ เพื่อเป็นการป้องกันเงินทุนจากกลุ่มทุนที่ใช้ในการสนับสนุนขบวนการ
แต่ในขณะเดียวกัน วิธีแก้ปัญหาอย่างนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เนื่องจากต้นเหตุแห่งปัญหาอยู่ที่มีการข่มขู่ คุกคามประชาชนให้ขายที่ดิน ขายให้แก่ใคร ใครเป็นคนข่มขู่ ผู้ถูกข่มขู่รู้ดี และใครคือคนซื้อ ผู้เป็นเจ้าของที่ดินก็รู้ดี แต่ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจซึ่งเป็นผู้ถือ และใช้กฎหมาย ป.วิอาญา จึงไม่ดำเนินการสืบสวนสอบสวน และจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และกำลังของกองทัพในพื้นที่ ซึ่งในมือมีทั้ง พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก จึงไม่ได้ใช้กลไกกฎหมายเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ทั้งที่มีอำนาจล้นมือในการเชิญตัวมาสืบสวน สอบสวน และควบคุมตัวโดยการใช้กฎหมายพิเศษเหล่านั้น
และสุดท้าย ฝ่ายปกครอง วันนี้วิญญาณของนักปกครองหดหายไปไหน จึงมองไม่เห็นความทุกข์ยากความเดือดร้อนของประชาชน ทำไมฝ่ายปกครองจึงไม่เข้าไปแก้ไขปัญหาโดยกลไกของฝ่ายปกครอง ทีมีผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่อยู่ในมือมากมาย เหล่านี้คือคำถามที่หน่วยงานหลักทั้ง 3 หน่วยต้องตอบประชาชน
และสุดท้าย เมื่อปัญหาเรื่องการคุกคามข่มขู่เพื่อซื้อที่ดินถูกแก้ด้วย “ตัวเงิน” สิ่งที่จะติดตามมาคือ การทุจริต การคอร์รัปชัน จะมีการ “ซิกแซ็ก” นำเอาที่ดิน ที่เปล่าประโยชน์ และอื่นๆ มาสวมสิทธิเพื่อรับเงิน จะเกิดขบวนการเขมือบเงินหลวงเกิดขึ้น เช่นเดียวกับโครงการหลายๆ โครงการที่นำมาใช้แก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าเป็นโครงการ “พนม” “พนพ” และโครงการ “ไทยเข้มแข็ง” ที่มีการกินหัวคิว “แพะ” กับทั้งอำเภอที่เกิดขึ้นในขณะนี้
แน่นอน อีก 10 ปี หรืออีก 100 ปีข้างหน้า ประเทศไทยย่อมไม่เสียดินแดน เพื่อตั้งประเทศใหม่อย่างที่ “ขุนทหาร” หลายคนออกมาพูด แต่ถ้าสถานการณ์การก่อการร้ายยังเป็นอยู่เช่นนี้ และขบวนการยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ทุกครั้งก็ “ขุนทหาร” อีกนั่นแหละที่ออกมาคุยให้ประชาชนทราบว่าเป็นสมาชิกรุ่นใหม่ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นผู้กระทำ แสดงว่า “เซลล์” ใหม่ของขบวนการเกิดอย่างต่อเนื่องทุกวัน
เราจะสูญเสียบูรณภาพแห่งดินแดนหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะโดยแท้จริงประชาชนได้สูญเสียความเชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และเรายังได้สูญเสียผู้คน ทรัพยากร เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณของประเทศชาติไปแล้ว ซึ่งไม่ได้แตกต่างอะไรกับการสูญเสียดินแดนมากนัก
ดังนั้น ที่เหล่าเสนาบดี เหล่าขุนทหารที่ออกมาพูดเรื่องไม่สูญเสียดินแดน ไม่สูญเสียอธิปไตยกันทุกวันนี้ ชาวบ้านเขาสงสัยว่าจะเป็นการพูดปลอบใจตนเองที่ล้มเหลวในการแก้ปัญหา หรือไม่ก็พูดเพื่อ “หลอก” ประชาชนไปวันๆ เท่านั้นกระมัง