รายงาน...ศูนย์หาดใหญ่
“ไฟมันเริ่มลามมาจากฝั่งทิศตะวันออกลามมาเรื่อยๆ กระจูดทั้งที่มีอยู่ในป่าพรุ และที่ปลูกไว้ถูกไฟไหม้หมดแล้ว เมื่อป้าเห็นไฟมันมาเร็วมากไล่ตามหลังมาเลย เมื่อไม่มีกระจูดให้ตัดแล้ว ก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไง ก็ไม่มีอะไรจะให้ทำกินแล้ว”
นางสมใจ เส้งสั้น ชาวบ้านควนชิง ตำบลเคร็ง เล่าให้ฟังขณะลงไปตัดต้นกระจูดในตอนเช้า ก็ต้องเจอกับไฟที่กำลังลุกโหมอย่างหนัก จนต้องรีบวิ่งขึ้นมา และต้องพบว่าต้นกระจูดซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากินถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น
การตัดต้นกระจูดขายของชาวบ้านในพื้นที่ ต.เคร็ง อ.ชะอวด ถือเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านที่นี่ แต่จากเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าพรุทำให้ต้นกระจูดถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี กว่าชาวบ้านที่นี่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตมาสานกระจูดได้อีก
ป่าพรุควนเคร็ง คือป่าที่สมบูรณ์เป็นอันดับที่ 2 รองจากป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส และเป็นแหล่งผลิตต้นกระจูดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ เป็นแหล่งวัตถุดิบของชาวอำเภอชะอวด และหมู่บ้านทะเลน้อยของจังหวัดพัทลุง และเมื่อปี 2553 พื้นที่แห่งนี้เคยถูกไฟไหม้ต้นกระจูดได้รับความเสียหายทั้งหมด และกว่าจะฟื้นขึ้นมาใหม่ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี จนกระทั้งปีนี้ ต้นกระจูดกำลังเติบโตอย่างสวยงาม และเก็บเกี่ยวได้ก็ต้องมาถูกไฟไหม้ซ้ำอีกครั้ง
นายสมชาย ทักสิน ผู้ใหญ่บ้าน ม.9 ต.เคร็ง อ.ชะอวด กล่าวว่า ชาวบ้านเดือดร้อนมากเพราะหน้าแล้งยางพาราก็กรีดไม่ได้ และราคาถูก ซึ่งการตัดต้นกระจูดชาวบ้านบางคนยึดเป็นอาชีพหลัก ก็ยังคงเหลือเพียงกระจูดที่ตัดไว้ได้เป็นรายได้ประทังชีวิต ถ้าไฟไหม้หมด บางคนก็ต้องอดอยากเหมือนกัน
ต้นกระจูดที่เห็นอยู่นี้ เป็นชุดสุดท้ายที่ชาวบ้านสามารถไปเก็บเกี่ยวมาได้ก่อนที่จะถูกไฟไหม้ คงจะพอเก็บรายได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น บางครอบครัวเดือดร้อนหนักเพราะยึดเป็นอาชีพหลัก ส่วนบางครอบครัวที่มีสวนยางพารา ก็ยังคงมีรายได้จากอีกทางหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ในสภาวะอากาศที่ร้อน ส่งผลให้น้ำยางไม่ออก หวังจะหารายได้เสริมจากตัดต้นกระจูดก็ต้องมาหมดหวังเพราะถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น รวมทั้งกลุ่มชาวบ้านที่ออกหาปลาในป่าพรุก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
สาเหตุหลักที่ป่าพรุควนเคร็งถูกไฟไหม้เนื่องจากเป็นการจุดไฟเผาเพื่อบุกรุกที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์ ให้เป็นป่าเสื่อมโทรม และยึดเป็นเจ้าของ หรือขายให้แก่นายทุน ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะทำการดับไฟในครั้งนี้ได้ แต่หากยังไม่มีแนวทางป้องกัน หรือมาตรการขั้นเด็ดขาด ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำที่หวังพึ่งผืนป่าเป็นแหล่งทำรายได้หาเลี้ยงชีพก็ต้องรับชะตากรรมกับการกระทำของคนเห็นแก่ตัวเพียงบางกลุ่ม
“ไฟมันเริ่มลามมาจากฝั่งทิศตะวันออกลามมาเรื่อยๆ กระจูดทั้งที่มีอยู่ในป่าพรุ และที่ปลูกไว้ถูกไฟไหม้หมดแล้ว เมื่อป้าเห็นไฟมันมาเร็วมากไล่ตามหลังมาเลย เมื่อไม่มีกระจูดให้ตัดแล้ว ก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไง ก็ไม่มีอะไรจะให้ทำกินแล้ว”
นางสมใจ เส้งสั้น ชาวบ้านควนชิง ตำบลเคร็ง เล่าให้ฟังขณะลงไปตัดต้นกระจูดในตอนเช้า ก็ต้องเจอกับไฟที่กำลังลุกโหมอย่างหนัก จนต้องรีบวิ่งขึ้นมา และต้องพบว่าต้นกระจูดซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากินถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น
การตัดต้นกระจูดขายของชาวบ้านในพื้นที่ ต.เคร็ง อ.ชะอวด ถือเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านที่นี่ แต่จากเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าพรุทำให้ต้นกระจูดถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี กว่าชาวบ้านที่นี่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตมาสานกระจูดได้อีก
ป่าพรุควนเคร็ง คือป่าที่สมบูรณ์เป็นอันดับที่ 2 รองจากป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส และเป็นแหล่งผลิตต้นกระจูดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ เป็นแหล่งวัตถุดิบของชาวอำเภอชะอวด และหมู่บ้านทะเลน้อยของจังหวัดพัทลุง และเมื่อปี 2553 พื้นที่แห่งนี้เคยถูกไฟไหม้ต้นกระจูดได้รับความเสียหายทั้งหมด และกว่าจะฟื้นขึ้นมาใหม่ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี จนกระทั้งปีนี้ ต้นกระจูดกำลังเติบโตอย่างสวยงาม และเก็บเกี่ยวได้ก็ต้องมาถูกไฟไหม้ซ้ำอีกครั้ง
นายสมชาย ทักสิน ผู้ใหญ่บ้าน ม.9 ต.เคร็ง อ.ชะอวด กล่าวว่า ชาวบ้านเดือดร้อนมากเพราะหน้าแล้งยางพาราก็กรีดไม่ได้ และราคาถูก ซึ่งการตัดต้นกระจูดชาวบ้านบางคนยึดเป็นอาชีพหลัก ก็ยังคงเหลือเพียงกระจูดที่ตัดไว้ได้เป็นรายได้ประทังชีวิต ถ้าไฟไหม้หมด บางคนก็ต้องอดอยากเหมือนกัน
ต้นกระจูดที่เห็นอยู่นี้ เป็นชุดสุดท้ายที่ชาวบ้านสามารถไปเก็บเกี่ยวมาได้ก่อนที่จะถูกไฟไหม้ คงจะพอเก็บรายได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น บางครอบครัวเดือดร้อนหนักเพราะยึดเป็นอาชีพหลัก ส่วนบางครอบครัวที่มีสวนยางพารา ก็ยังคงมีรายได้จากอีกทางหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ในสภาวะอากาศที่ร้อน ส่งผลให้น้ำยางไม่ออก หวังจะหารายได้เสริมจากตัดต้นกระจูดก็ต้องมาหมดหวังเพราะถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น รวมทั้งกลุ่มชาวบ้านที่ออกหาปลาในป่าพรุก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
สาเหตุหลักที่ป่าพรุควนเคร็งถูกไฟไหม้เนื่องจากเป็นการจุดไฟเผาเพื่อบุกรุกที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์ ให้เป็นป่าเสื่อมโทรม และยึดเป็นเจ้าของ หรือขายให้แก่นายทุน ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะทำการดับไฟในครั้งนี้ได้ แต่หากยังไม่มีแนวทางป้องกัน หรือมาตรการขั้นเด็ดขาด ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำที่หวังพึ่งผืนป่าเป็นแหล่งทำรายได้หาเลี้ยงชีพก็ต้องรับชะตากรรมกับการกระทำของคนเห็นแก่ตัวเพียงบางกลุ่ม