ขณะที่ครอบครัวของสิบเอกลือชัย จุลทอง, พลทหารเบญจรงค์ สีแก้ว, พลทหารเอกลักษณ์ สีดอกไม้ และพลทหารภาคิน หงส์มาก กำลังเศร้าโศกกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของผู้เป็นที่รัก อันเนื่องมาจากเหตุการณ์คนร้ายปิดถนนยิ่งถล่มเจ้าหน้าที่ทหารอย่างโหดเหี้ยม ณ ถนนสายอำเภอมายอ-ปัตตานี เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา
ภาพของร่างไร้วิญญาณถูกห่มคลุมด้วยธงชาติ ย่อมสร้างความเจ็บปวดอย่างไม่อาจบรรยายให้แก่คนในครอบครัว ผู้เป็นพ่ออาลัยและโศกเศร้าต่อการจากไปของบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ขณะที่ผู้เป็นภรรยาก็ร่ำไห้และไม่อาจหาคำพูดใดมาอธิบายถึงชะตากรรม เลวร้ายของชายผู้เป็นที่รักในครานี้
ความทรงจำอันปวดร้าวจากเหตุดังกล่าวยังไม่ทันจางหาย...
ถัดมาจากนั้นอีกไม่กี่วันคือวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 กลุ่มก่อความไม่สงบก็ปฏิบัติการเย้ยอำนาจรัฐอีกครั้งด้วยการซุกระเบิดกว่า 50 กิโลกรัมในรถยนต์หวัง “คาร์บอมบ์” ถล่มโรงแรมซีเอสปัตตานีให้วอดเป็นจุณ ส่งผลให้ไฟฟ้าดับเกือบทั้งเมือง สร้างความอกสั่นขวัญเสียให้กับทั้งคนที่อยู่ในเหตุการณ์และคนไทยทั้งประเทศอย่างมิอาจประเมินค่าได้
แต่แล้วสิ่งที่สังคมได้รับรู้ในเวลาต่อมา กลับไม่ต่างอะไรจากการใช้มีดกรีดลงไปบนบาดแผลที่ยังไม่หายให้ลึกลงไปอีก เมื่อได้รับรู้ในเวลาต่อมาว่า ในขณะที่เกิดคาร์บอมบ์ถล่มโรงแรมหรูกลางเมืองปัตตานีนั้น “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจากพรรคเพื่อไทยของคนเสื้อแดงกลับรื่นเริงและระรี้ระริกอยู่กับการครวญเพลงอย่างมีความสุขที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ ในงานเลี้ยงพรรคร่วมที่ใช้ชื่อว่า “ร่วมใจยึดมั่นผลักดันประชาธิปไตย” ที่พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อนิจจา คาร์บอมบ์ถล่มโรงแรมซีเอสปัตตานีเกิดขึ้นในช่วงเวลา 19.30 น. แต่ในช่วงเวลา 21.30 น.ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ นางสาวยิ่งลักษณ์ยังมีความสุขกับการร้องเพลงร่วมกับ ส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทยถึง 5 เพลง เช่นเพลง 30 ยังแจ๋ว, จะขอก็รีบขอ, รักจางที่บางปะกง, สาวขอนแก่น และเพลงสุขกันเถอะเรา อย่างสนุกสนาน
เรียกว่าทั้งเต้นไปร้องไป
แถมในบางช่วง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินลงจากเวทีไปเชิญแกนนำพรรคร่วม เช่น นายสนธยา คุณปลื้ม นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ขึ้นร่วมร้องเพลงด้วย
นี่คือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
ทั้งนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์มิอาจปฏิเสธการรับรู้เรื่องเหตุการณ์ระเบิดที่โรงแรมซีเอสปัตตานี เพราะมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า ก่อนนายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาถึงงาน กลุ่มผู้สื่อข่าวได้รอดักเพื่อขอสัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ระเบิดที่โรงแรมซีเอสปัตตานี แต่ได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่พรรคเพื่อไทยว่าอย่าเพิ่งสัมภาษณ์ ให้รองานเลี้ยงเลิกก่อน
และเมื่องานเลี้ยงเลิกรา นางสาวยิ่งลักษณ์ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ระเบิดที่โรงแรมซีเอสปัตตานีเพียงสั้นๆ ว่า "ได้รับทราบแล้วค่ะ"
“สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย คิดร้อนใจไปเปล่า...” บทเพลงที่แสนเริงรื่นกลับหลุดออกจากปากของนายกฯ ปูนิ่มผู้นี้อย่างไร้ความรับผิดชอบ
จริงอยู่บรรดาลิ่วล้อ ผู้พิทักษ์นายกฯ อาจเถียงว่าการร้องเพลงในงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลนั้นเป็นคนละประเด็นกับการเสียชีวิตของทหารกล้าทั้ง 4 แต่คนเหล่านั้นคงหลงลืมไปว่า ตราบใดที่ยังดำรงสถานะ ผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศ บุคคลผู้นั้นยิ่งสมควรต้องดำรงไว้ซึ่งการตระหนักถึงความเหมาะสมในทุกจังหวะย่างก้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในห้วงเวลาที่สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงคุกรุ่นไปด้วยสถานการณ์ความรุนแรงอันเปรียบประดุจกองเพลิงที่ไม่มีทีท่าจะมอดดับ
ทั้งที่เมื่อเทียบกันแล้ว ในหลายประเทศทั่วโลกซึ่งมีผู้นำเปี่ยมด้วยจิตสำนึก หากเกิดกรณีผู้นำประพฤติตนไม่เหมาะสมหรือผิดกาลเทศะ ผู้นำเหล่านั้น มักมีแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการต่อประชาชนพลเมืองในชาติของตน มิพักต้องเอ่ยถึงความรับผิดชอบในระดับที่จริงจังถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งหากการกระทำดังกล่าวทำให้ประชาชนผิดหวัง เช่น การถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชั่น หรือถูกกล่าวหาว่าละเมิดศีลธรรม คุณธรรมในเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่ละเอียดอ่อน แต่สำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแล้ว ความไม่ถูกต้องเหมาะสมที่เธอประพฤติปฏิบัติให้เห็นอยู่แทบทุกขณะของการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของประเทศนั้น กลับยิ่งพอกใบหน้าของเธอจนแสดงความเริงรื่นออกมาในท่ามกลางบรรยากาศที่ทหารและประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตายรายวันเพื่อเซ่นสังเวยนโยบายอันผิดพลาดของรัฐบาลที่มีส่วนทำให้สถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปะทุขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในเร็ววัน
มิหนำซ้ำ นายกฯ ยังไร้เดียงสาและขี้ขลาดตาขาวถึงขั้นคิดจะตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ที่กรุงเทพมหานครโดยไม่คิดจะลงไปสัมผัสบรรยากาศและติดตามค้นหาข้อเท็จจริงในพื้นที่แต่อย่างใด
ราวกับว่าตัวเธอนั้นเป็นคนปัญญาอ่อนที่คิดเองไม่เป็น ใครหลอก ใครกล่อมอะไรก็เชื่อ แม้แต่คำชี้แนะของคนไร้ราคาอย่าง ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ที่นายกฯ จะมอบหมายให้มากำกับดูแลศูนย์ปฏิบัติการดับไฟใต้ ซึ่งเป็ดเหลิมให้นิยามอย่างไม่อายปากว่า 'เพนตากอนเมืองไทย' ดังที่ตัวเฉลิมเคยให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนว่า “ ผมอยากยกตัวอย่างโอบามา ถล่มบิน ลาเดน นาทีสุดท้ายเขายังอยู่ที่เพนตากอน และถ้านายกฯ มอบหมายให้ผมจริง ผมจะสร้างมาตรฐานเทียบเท่าเพนตากอน 2” ก็อาจเป็นไปได้ว่า นายกฯ นกแก้วผู้นี้อาจหลงเชื่อและมีคำสั่งให้ทำจริงก็เป็นได้
ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว การแก้ปัญหาชายแดนใต้เหมือนการถล่มบินลาเดนที่เป็ดเหลิมกลั่นออกมาจากรอยหยักในสมอง มีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเติมเชื้อไฟ หรือการสร้างเงื่อนไขใหม่ที่ท้าท้ายต่อความรุนแรงให้หนักกว่าเก่าเข้าไปอีก
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะว่าไปแล้ว นอกจากนางสาวยิ่งลักษณ์ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่าง พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต ก็มิได้แตกต่างจากผู้เป็นนายสักเท่าไหร่ เพราะนับตั้งแต่ได้รับการสถาปนาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนรักเตรียมทหาร 10 ของ นช.ทักษิณ ผู้นี้ก็มีได้สำแดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้แต่อย่างใด
ผลงานอันเอกอุที่สังคมได้เห็นคือการที่มัวแต่ใช้จ่ายห้วงเวลาอันมีค่าไปกับการเต้นแร้งเต้นกา ขุดคุ้ยหลักฐานในการหนีทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะโดยมีวัตถุประสงค์เพียงแค่การช่วยเหลือ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” น้องรักที่มีทีท่าจะไม่รอดจากคุก ทั้งที่ควรจะนำเวลาอันมีค่าไปครุ่นคิดนโยบายคลายวิกฤติในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างเป็นรูปธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแสดงถึงภาวะไร้ความสามารถ ขาดการเชื่อมโยงกับข้อมูลข่าวสารในพื้นที่อย่างแท้จริง เพราะเหตุระเบิดโรงแรมซีเอส ปัตตานีนั้น หากติดตามสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และสืบหาข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านแล้วล่ะก็ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต คงไม่สำรากออกมาว่าเป็นการก่อเหตุที่ผู้ก่อเหตุหวังจะเร่งให้ตนเองมีความสำคัญมากขึ้น ทั้งยังเผยว่าเหตุที่เกิดระเบิดขึ้นที่โรงแรมซีเอส ปัตตานีนั้น เป็นเพราะโรงแรมดังกล่าวเคยเกิดระเบิดขึ้นมาแล้ว จึงไม่คาดคิดว่าจะมีการระเบิดเกิดขึ้นอีก ซึ่งมุมมองดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นถึงการขาดความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
พล.อ.อ.สุกำพลพูดออกมาได้อย่างไรว่า “ยุทธศาสตร์ของทางการเดินมาถูกทางแล้ว” เพราะถ้าถูกทางยิ่ง ทำไมสังคมถึงไม่รู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียวว่า ความรุนแรงลดน้อยลง แต่ในทางตรงกันข้ามกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น กรณีคนร้ายใช้รถกระบะประกบยิงทหารที่คลิปข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลกนั่นปะไรคือเครื่องยืนยันถึงความรุนแรงที่ดำรงอยู่จริง
หรือ พล.อ.อ.สุกำพลจะเพลิดเพลินอยู่กับงบประมาณที่กระทรวงกลาโหมได้รับจำนวนมหาศาลจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์....เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
แน่นอน นอกจากนางสาวยิ่งลักษณ์และพล.อ.อ.สุกำพลแล้ว หากยังไม่ลืม สังคมไทยน่าจะจดจำชื่อของตัวละครอีกตัวหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ นั่นก็คือ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็น “เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ ศอ.บต.
ถามว่า นับตั้งแต่ พ.ต.อ.ทวีนั่งเก้าอี้เลขาฯ ศอ.บต. พ.ต.อ.ทวีเคยสร้างผลงานในการยุติปัญหาความรุนแรงได้บ้างหรือไม่
ถามว่า นับตั้งแต่ พ.ต.อ.ทวีมีคุณสมบัติอันใดถึงได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นใหญ่ที่ ศอ.บต. นอกจากความเป็นคนของระบอบทักษิณที่ต้องการติดสปริงคนใกล้ชิดให้เด้งสู่การเป็นข้าราชการระดับ 11 เพื่อไม่ให้ดูโลดโผนโจนทะยานเกินไปหากจะให้กลับไปนั่งแท่นเป็น “ปลัดกระทรวง” กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบอบทักษิณ และความสัมพันธ์ที่ว่ากันว่าใกล้ชิดแนบแน่นกับน้องสาวของนายใหญ่คนเสื้อแดง
จริงอยู่ แม้บางเสียงจากผู้คนในพื้นที่และนักวิชาการมุสลิมผู้ติดตามสถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง จะยอมรับว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง นั้น ได้ใจจากชาวบ้านในพื้นที่ไปไม่น้อย ด้วยความกล้าในการเข้าหามวลชน และการดำเนินนโยบายเยียวยา 7.5 ล้าน ให้แก่ประชาชนผู้เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
แต่ถามว่าได้ประโยชน์อะไรกับประเทศชาติโดยรวมบ้าง เพราะสิ่งที่ผู้คนจดจำกลับกลายเป็นว่า เขาคือตัวแทนของระบอบทักษิณมากกว่า เพราะไม่ว่าจะทำโครงการอะไรหรืออย่างไร มักจะมีการแจกจ่ายเงินงบประมาณไปให้อย่างชนิดที่ฝ่ายที่ได้รับสุดแสนจะพออกพอใจตลอด
จากปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในยุค นช.ทักษิณและต่อเนื่องมาถึงยุคนางสาวยิ่งลักษณ์แสดงให้เห็นความอ่อนหัด ไม่เป็นโล้เป็นพาย ไร้ซึ่งความจริงจังและจริงใจในการแก้ปัญหาไฟใต้อันภาพสะท้อนที่ชัดเจนของรัฐบาลชุดนี้
ยิ่งเมื่อได้รับฟังบทเพลงและลีลาอันระรี้ระริกมีความสุขของนางสาวยิ่งลักษณ์ในการร้องเพลงสุขกันเถอะเรา และบทเพลงอื่นๆ ในขณะเกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่โรงแรมซีเอสปัตตานีด้วยแล้ว ก็ยิ่งหมดความหวังหนักเข้าไปอีก
และตราบใดที่การทำงานยังขัดแข้งขัดขา ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขาดทิศทางที่ชัดเจน ขาดความเข้าใจและขาดความจริงใจในการแก้ปัญหา ตราบนั้นสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนรัฐบาลที่แสร้งทำท่าทางปัญญาอ่อนไร้เดียงสาคงไม่มีทางแก้ไขเยียวยาได้เลย
และนั่นย่อมหมายความว่า จะยังมีชีวิตผู้บริสุทธิ์ต้องเซ่นสังเวยอีกมากต่อมาก
อนาถแท้ นายกฯ ไทย