ASTVผู้จัดการรายวัน/ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - หน่วยข่าวด้านความมั่นคงจับตาความเคลื่อนไหว 3 แกนนำอาร์เคเค ที่มีส่วนเกี่ยวข้องระเบิดคาร์บอมบ์ “ลีการ์เดนส์”เตรียมเข้ามาก่อเหตุลอบวางระเบิดซ้ำในพื้นที่สงขลา เป้าหมายส่วนราชการหาดใหญ่ พร้อมแจ้งเตือนป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ถูกโจรกรรม 16 ป้ายอาจถูกนำไปใช้ก่อเหตุ ด้าน อดีตสมช.ซัด ตั้ง3รองนายก ซ้ำซ้อนสั่งการ กอ.รมน.เตรียมเคอร์ฟิวบางพื้นที่
วานนี้(2 ส.ค.) ที่ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกับกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา เพื่อติดตามความคืบหน้าทางด้านคดีความมั่นคงในพื้นที่ นอกจากนี้ มีการแจ้งเตือนป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมไป จำนวน 16 ป้าย ดังนี้
1.) บร 7934 สงขลา 2.) กค 1006 ยะลา3.) กค 6714 พัทลุง 4.) บต 9179 ปัตตานี5.) บง 955 ยะลา6.) บฉ 2256 ยะลา7.) บง 3171 ยะลา
8.) ผค 4883 สงขลา 9.) กบ 4316 สงขลา10.) บจ 4179 ยะลา 11.) บต 3957 สงขลา12.) ดง 1598 กทม13.) บจ 105 ปัตตานี14.) กบ 3315 นราธิวาส 15.) ถล 8099 กทม 16.) ผก 7930 สงขลา
**จับตา3RKK หวั่นบึ้มซ้ำ
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่ จ.สงขลา ยังไม่น่าไว้วางใจหลังจากได้มีการแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ที่คาดว่าจะนำเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ จ.สงขลา คือรถยนต์กระบะโตโยต้าวีโก แบบแค็ป สีบรอนซ์เงิน และรถยนต์กระบะอีซูซุ ดีแม็กซ์ แบบแค็บ สีบรอนซ์เงิน
ล่าสุด หน่วยข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่ จ.สงขลา ได้เฝ้าจับตาและประสานกองกำลังในพื้นที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ 3 แกนนำอาร์เคเค ที่รับผิดชอบก่อเหตุในพื้นที่ จ.สงขลา คือ นายเสรี แวมามุ, นายรุสลัน ใบมะ และนายเจ๊ะหมะ วานิ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบวางระเบิดโรงแรมลีการ์เดนส์พลาซ่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา พร้อมกับแนวร่วมระดับปฏิบัติการอีกอย่างน้อย 2 คน
หลังจากที่ได้รับรายงานว่า มีการเข้ามาประชุมวางแผนกันในพื้นที่ จ.สงขลา อย่างน้อย 2 ครั้งเพื่อเตรียมก่อเหตุลอบวางระเบิดสร้างสถานการณ์เชื่อมโยงกับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเกิดระเบิดต่อเนื่องครบทั้งสามจังหวัด และเชื่อว่า จ.สงขลา เป็นหนึ่งในเป้าหมายด้วย
โดยพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือพื้นที่ อ.หาดใหญ่ อ.เมือง แต่เป้าหมายนั้นอาจเปลี่ยนจากย่านธุรกิจการค้ามาเป็นส่วนราชการแทน เพื่อแสดงพลังข่มขวัญเจ้าหน้าที่ โดยช่วงระยะเวลาที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือ 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน โดยเฉพาะในคืนวันคี่ซึ่งถือเป็นช่วงสำคัญที่สุดของเดือนรอมฎอน
สำหรับหนึ่งในรถต้องสงสัยที่เจ้าหน้าที่เฝ้าจับตา และคาดว่าจะนำมาใช้เป็นรถคาร์บอมบ์นั้น คือ รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ผก 7930 สงขลา ซึ่งเป็นรถที่ถูกคนร้ายฆ่าชิงทรัพย์มาในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
**ร.ร.บ้านกูวิง อ.มายอ ถูกเผาอีก
เวลา 08.00 น. ที่โรงเรียนชุมชนบ้านกูวิง อ.มายอ จ.ปัตตานี ที่ถูกเพลิงไหม้เมื่คืนวันที่ 1 ส.ค.ยังคงมีควันไฟตลบทั่วบริเวณ และยังมีไฟลุกไหม้อยู่เป็นหย่อมๆ โดยเจ้าหน้าอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.มายอ ได้นำรถดับเพลิงเข้ามาฉีดน้ำอีกครั้ง เพราะยังคงเกิดประกายไฟลุกไหม้ขึ้นอีก เนื่องจากเป็นอาคารไม้ที่เก่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อาคารเรียนเสียหาย จำนวน 9 ห้องเรียน ประกอบด้วย ห้องอนุบาล 1 และอนุบาล 2 จำนวน 2 ห้อง, ห้องเรียนชั้น ป.1-ป.4 จำนวน 4 ห้อง, ห้องการงาน ห้องพยาบาล และห้องเรียนรู้เรื่องเศรษฐ์กิจพอเพียง อีก 3 ห้อง
ด้าน พ.ต.อ.กองอรรถ สุวรรณขำ ผกก.สภ.มายอ จ.ปัตตานี ได้นำเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้อาคารเรียนดังกล่าว พบว่า อาคารเรียน 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ รวมไปถึงอุปกรณ์การเรียนการสอนถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหายทั้งหลัง นอกจากนี้ ยังพบคราบน้ำมันเบนซิน และเศษผ้าตกบริเวณที่เกิดเหตุ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า ช่วงเกิดเหตุ ขณะที่ชาวบ้านกำลังเดินทางเพื่อไปละหมาดที่มัสยิด ปรากฏว่า ได้เห็นเพลิงไหม้บริเวณชั้นล่างของห้องเรียนจึงตะโกนเรียกให้ชาวบ้านช่วยกันดับไฟ พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อระงับเหตุดังกล่าว
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เชื่อว่า น่าจะเป็นการลอบวางเพลิงของกลุ่มก่อความไม่สงบเพื่อสร้างสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม นักเรียนรายหนึ่งเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะทำให้หนู และเพื่อนๆ ไม่มีห้องเรียน ต่อไปนี้หนูต้องทำอย่างไรเมื่อห้องเรียนถูกเผา สงสารน้องอนุบาลด้วย ขอร้องคนที่ทำอย่าทำแบบนี้อีก สงสารเด็กนักเรียน เพราะโรงเรียนไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย มีแต่ให้ประโยชน์แก่ประชาชน โดยเฉพาะเด็กๆ
ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับคณะครูระบุว่า หลังจากนี้ คงต้องใช้อาคารเรียนเก่าที่จัดเป็นห้องเรียนพิเศษ และห้องละหมาดมาปรับใช้เป็นสถานที่เรียนแทนห้องเรียนที่ถูกเพลิงไหม้เป็นการชั่วคราวก่อน ส่วนความเสียหายเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอนในครั้งนี้ ทางคณะครูได้ช่วยกันประมาณการจำนวนนับล้านบาท
ขณะที่เวลา 02.30 น. กลางดึกที่ผ่านมา (2 ส.ค.) พ.ต.อ.กองอรรถ สุวรรณขำ ผกก.สภ.มายอ จ.ปัตตานี ยังได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันบนถนนภายในหมู่บ้านมาหยอ ม.2 ต.มายอ อีกด้วย จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตนอนตายจมกองเลือด ทราบชื่อคือ นายฮามะ ดอมิ๊ อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 151 ม.2 ต.มายอ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นไม่ทราบชนิดเข้าลำตัว และศีรษะ
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ขณะที่ผู้ตายกำลังเดินกลับจากมัสยิดเพื่อไปที่บ้านพัก มาถึงที่เกิดเหตุ ถูกคนร้ายซุ่มยิงจนเสียชีวิตทันที
**กอ.รมน.เตรียมเคอร์ฟิวบางพื้นที่
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ต่อไปทางทหารจะทำการประกาศเคอร์ฟิว โดยจะใช้บางมาตราของพ.ร.ก.สถานการณ์การฉุกเฉิน คาดว่าจะประกาศใช้หลังจบเดือนรอมฎอนเป็นจุดและบางเส้นทางที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่ไม่ได้ปิดเต็มพื้นที่เหมือนที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการเกิดความวิตกกังวลของประชาชนในพื้นที่ และความเสียหายด้านเศรษฐกิจ
"สำหรับการทำงานร่วมกันของ 2 รองนายกฯ ทั้งร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย จะไม่มีปัญหา เนื่องจากทำงานร่วมกันได้ดีมาตลอด และการลงพื้นที่ของผู้บัญชาการเหล่าทัพพร้อมกัน จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีทิศทางการทำงานเดียวกันมากขึ้น"พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวและว่า ขอให้ 9 กระทรวง จาก 17 กระทรวง ที่มีหน้าที่รับผิดชอบแก้ไฟใต้ ลงพื้นที่ปฏิบัติงานร่วมกันมากกว่าของบประมาณด้วย เนื่องจากคนให้พื้นที่เดือดร้อนและรอความช่วยเหลือหลายด้าน เช่น การศึกษา และการเกษตร
**กำชับ ดูแลพระ-ชาวไทยพุทธ
ต่อมาพล.อ.ยุทธศักดิ์ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงวันหยุดที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาว่า ตนได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ไปดูแลพระสงฆ์และชาวพุทธที่จะไปทำบุญหรือประกอบพิธีทางศาสนาพุทธ อย่างเข้มงวดมากขึ้น อีกทั้งให้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ไปประจำการเฝ้าระวังในพื้นที่ที่มีการทำบุญ และขอให้การประกอบพิธีทางศาสนาเลิกเร็วกว่าปกติเพื่อไม่ให้เป็นเป้าเสี่ยง
ส่วนการดูแลรักษาความปลอดภัยจากกระแสข่าวที่ว่าจะเกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงกำลังตำรวจและทหาร กว่า 1 พันนาย ออกตรวจเข้มและวางกำลังดูแลอย่างเต็มที่ ควบคู่กับการขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา
ส่วนการติดตามรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมซึ่งคาดว่าจะถูกนำไปใช้ก่อเหตุนั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถยึดรถยนต์ที่ถูกโจรกรรม กลับคืนได้ 1 คันแล้ว นอกจากนี้หน่วยนาวิกโยธินได้ตรวจยึดอุปกรณ์ที่จะใช้ในการก่อเหตุคาร์บอมบ์ได้เป็นจำนวนมาก ขณะที่การดูแลโรงเรียนที่ตกเป็นเป้าของการก่อเหตุนั้น ตนได้ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เข้าไปดูแลโรงเรียนทั่วไปและโรงเรียนสอนศาสนาอย่างใกล้ชิด
**ซัดตั้ง3รองนายก'เกิดปัญหาสั่งการ
นายสมเกียรติ บุญชู ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ในฐานะอดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รับผิดชอบดูแลยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลตั้งศูนย์ปฎิบัติการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือการบูรณาการและการถ่ายทอดนโยบายลงพื้นที่จะเกิดผลได้จริงหรือไม่ เพราะการที่นายกฯมอบหมายให้รองนายกฯ 3 คน ดูแล 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ตนเห็นว่าการมอบหมายให้รองนายกฯรับผิดชอบและสั่งการเพียงคนเดียวจะเป็นการบูรณาการการทำงานที่ดีกว่า เพราะแม้ว่าจะมีการแบ่งงานในการทำงานของ 3 รองนายกฯ แต่ในทางปฏิบัติหรือการสั่งการจะมีปัญหาในเชิงปฏิบัติในพื้นที่เพราะรองนายกฯทั้ง 3 คน ไม่ได้เป็นผู้ประสานงานเอง เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ระหว่างหน่วยงาน ดังนั้นเมื่อมาถึงขั้นปฏิบัติย่อมจะเกิดปัญหา
“อยากให้หยิบยกยุทธศาสตร์เป้าหมายร่วมระหว่างสมช. กอ.รมน. และศอ.บต. ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภามาแล้วนำมากำกับและทำงาน โดยทุกหน่วยงานจะต้องตอบสนองนโยบายดังกล่าว แต่ปัจจุบันการขับเคลื่อนนโยบายล่าช้า อย่างกรณีคาร์บอมบ์ที่สุไหง-โกลก จ.นราธิวาส ที่ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจใหญ่ แต่ไม่สามารถป้องกันไว้ได้ สะท้อนให้เห็นว่ามีปัญหาในทางปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระดับบน แต่อยู่ในระดับพื้นที่มากกว่า”นายสมเกียรติระบุ
**ซ้ำซ้อน ศอ.บต.ขาดประสิทธิภาพ
รศ.ยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า การตั้งศูนย์แก้ไขสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไว้ที่ส่วนกลาง จะเป็นการซ้ำซ้อนกับการทำงานของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต.ที่ปัจจุบันการทำงานยังไม่เกิดประสิทธิภาพมากนัก
**ปชป.แนะ 8ข้อแก้ปัญหาชายแดนใต้
นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดูแลในพื้นที่ภาคใต้ แถลงตำหนิการตั้งศูนย์ของรัฐบาล และต้องเปลี่ยนชื่อเป็น "ศูนย์ขี้ขลาดตาขาวและเอาเปรียบผู้ใต้บังคับบัญชา" พร้อมกับเรียกร้อง 8 ข้อต่อรัฐบาล ประกอบด้วย
1. ยึดมั่นในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”
2. ขอให้ยึดแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนโยบายและการพัฒนา เนื่องจากรัฐบาลนี้กำลังจะนำแนวคิด ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กลับเข้ามาใช้ หรือที่เป็นแนวคิดแบบ “ระบอบทักษิณ” มาสั่งการ
3.ยกเลิกกฎหมายพิเศษ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอให้ใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเท่าที่จำเป็น
4. ยกเลิกการใช้กำลังทหารภาคที่ 1 , 2, 3 กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ และหันมาใช้กองกำลังจากกองทัพภาคที่ 4 รวมถึงกองทัพอาสารักษาดินแดน กรมการปกครอง และกองกำลังประจำถิ่นแทน
5.ส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4อำเภอของจ.สงขลา รับราชการและทำหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มากขึ้น รวมถึงการใช้กองกำลังประจำถิ่นได้มีโอกาสก้าวหน้าในสายงานฝ่ายปกครอง ตำรวจ และทหารด้วย
6.ยกเลิกองค์กร หรือหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ อาทิ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรุงเทพฯ ที่มีร.ต.อ.เฉลิม เป็นประธานฯ และตนขอตั้งชื่อใหม่ว่า “ศูนย์ขี้ขลาดตาขาวและเอาเปรียบผู้ใต้บังคับบัญชา”
7.จ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ อย่าให้น้อยกว่าคนที่เผาบ้านเผาเมือง
8.คัดค้านการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ แก้ไขและพัฒนาให้ถูกทาง ดังนั้นตนขอเรียกร้องให้นายกฯ ลงไปแก้ปัญหาภาคใต้ และรับผิดชอบด้วยตัวเอง เนื่องจากนายกฯ มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบโดยตำแหน่ง อาทิ ผอ.ศอ.บต. ,ผอ.กอ.รมน. และเป็นประธานบอร์ดสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา
**หน.ปชป.ไม่ตลกฝีมือ “คนซน”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดจากการกระทำของคนซน บางทีก็คนดี เป็นคนกระทำและมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อต้องการจะล้มรัฐบาล ว่า คนที่ก่อเหตุไม่ใช่คนดี เพราะมาใช้วิธีการก่อการร้าย ทำการรุนแรง ก่อความไม่สงบ ฉะนั้นอย่าทำให้เกิดความสับสน และเป็นที่สังเกตุว่า ร.ต.อ.เฉลิมต้องการเบี่ยงเบนประเด็นไปในทิศทางใด
**'ใช้เวทีสภารับฟังแก้ปัญหาใต้
สมัยรัฐบาลที่แล้วได้มีการพัฒนาตัวกฎหมาย ศอ.บต.ออกมา และเสนอต่อสภา ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่นโยบายที่ประกาศออกมา ในทางปฏิบัติไม่สามารถเดินได้ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2554 เป็นต้นมา ทั้งๆ ที่มีโครงสร้างที่ถูกกำหนดโดยกฎหมายเป็นครั้งแรก ปรากฏว่ารัฐบาลยังมีความพยายามในการที่จะตั้งกรรมการ หรือศูนย์ หรือมีการมอบหมายบุคคลต่างๆ ไปทำงานในลักษณะซึ่งซ้ำซ้อน หรือก็ทำให้ตัว ศอ.บต. และกลไกที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายนั้นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และสวนทางกับการเสนอตั้ง “เพนตากอน” ของ ร.ต.อ.เฉลิม และขอเตือนเลยว่า แนวความคิดนี้อย่าเที่ยวไปพูดว่าอเมริกายังไปถล่มบิน ลาดิน โดยไม่ต้องไปตั้งศูนย์อยู่ที่ตะวันออกกลาง หรือที่ปากีสถาน หรือที่อัฟกานิสถาน ซึ่งมันไม่ดี เพราะเป็นการไปสร้างเงื่อนไขและส่งสัญญาณให้เหตุการ์วุ่นวายเพิ่มเติมขึ้น และขอให้รัฐบาลใช้โครงสร้างตามกฎหมายให้มากที่สุด
ส่วนการให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ลงไปดูแล ศอ.บต. แต่สถานการณ์ไม่ดีขึ้น เพราะ พ.ต.อ.ทวี มีประวัติในการทำงานในช่วงสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีปัญหาในเชิงนโยบายเรื่องภาคใต้ และตนได้รับการยืนยันจากคนที่อยู่ต่างประเทศว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยไปอาศัยกลไกเครื่องมือของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ตามมาในพื้นที่ต่างๆ ดังนั้นนี่คือปัญหาที่ตนอยากให้รัฐบาลได้รับฟัง และตนก็อยากขอใช้เวทีสภา นำเสนอปัญหาเหล่านี้ ทั้งนี้ ตนรู้สึกแปลกใจที่ ร.ต.อ.เฉลิมระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้เป็นจำนวนมาก อยากให้มาช่วยกันแก้ไข แต่สิ่งที่เราเสนอไปกลับไม่ได้รับการตอบสนองเลย
**ค้าน เคอร์ฟิวหวั่น กระทบปชช.
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการประกาศเคอร์ฟิว ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะจะส่งผลกระทบกับประชาชน และอาจสร้างเงื่อนไขให้กับฝ่ายตรงข้ามและเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ อย่างจริงจัง
**สอท.หนุนเคอร์ฟิว เข้มรถเข้าออก
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า สถานการณ์ในภาพรวม ไม่ค่อยมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่ แต่รัฐบาลควรควบคุมเหตุความรุนแรง ให้จำกัดในพื้นที่และบริหารจัดการเขตก่อการร้าย หรือ ประกาศเคอร์ฟิว เหมือนเช่น ประเทศจอร์แดน โดยควบคุมรถเข้าออกพื้นที่ ติดตั้ง จีพีเอส เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้ม ถึงแม้จะมีความเป็นห่วงผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว