ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - คมธ.กิจการชายแดนไทยลงพื้นที่ติดคาม 3 ด่านศุลการใน จ.สงขลา ทั้งด่านประกอบ-ปาดังเบซาร์-สะเดา ที่จะเป็นประตูเปิดรับประชาคมอาเซียนในปี 58 ชี้รัฐไม่ตื่นตัว และชัดเจนที่จะปัดกวาดให้น่าอยู่เป็นห้องรับแขก ไม่ใช่ส้วมหลังบ้านที่อะไรก็ไม่เสร็จ สุดอาย มาเลย์รุกเดินสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกล่วงหน้าแล้ว 2 ปี และประกาศศักยภาพปั้นทุ่มอีก 4,000 ล้าน ทำคอมเพล็กซ์ และปั้นให้ติดอันดับโลกภายใน 2 ปี แต่การขยายด่านสะเดาไทยยังไม่รู้ได้แค่ไหน เหตุยังต้วมเตี้ยมได้แค่ขอเวนคืนที่ ทว่างบประมาณยังไม่ลงมา
คณะอนุกรรมาธิการกิจการอาเซียน ในคณะกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายณรงค์ ดูดิง ประธานคณะอนุกรรมาธิการ เปิดแถลงข่าว ณ โรงแรมสิงโกเด้นเพลส อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถึงผลการการลงพื้นที่ศึกษาดูงานด่านศุลกากรใน จ.สงขลา จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ด่านประกอบ อ.นาทวี, ด่านสะเดา และด่านปาดังเบซาร์ อ.สะเดา ระหว่างวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา เพื่อติดตามรับฟังปัญหา และเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558
นายณรงค์ ดูดิง ประธานคณะอนุกรรมาธิการ กล่าวว่า ภาพรวมทั้ง 3 ด่านยังไม่ค่อยมีความพร้อม แต่ตั้งความหวังว่า ด่านสะเดาจะต้องมีความพร้อมในการรับอาเซียนมากที่สุด และจะกระตุ้นให้รัฐบาลเห็นความสำคัญเรื่องนี้ เพราะด่านแห่งนี้สร้างรายได้การส่งออกทางบกเป็นอันดับ 2 ของประเทศ แม้ขณะนี้ จะเจรจาเรื่องการเวนคืนที่ดินแต่งบประมาณยังไม่ลงมาก็ตาม แต่ก็คิดว่าบางจุดอาจจะเปิดทันภายใน 2 ปีครึ่ง ซึ่งมีแผนรองรับ 2 ระยะ คือ การต้องมีการทุบทำลายกำแพงที่มีความแออัดเป็นคอขวดออก ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ส่วนระยะยาวจะสร้างด่านสะเดาแห่งใหม่เพื่อรองรับโครงการของฝ่ายมาเลเซียที่จะสร้างคอมเพล็กซ์ เปอร์ดานา ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเป็นด่านศุลกากรติดอันดับโลกในปี 2558 ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียอนุมัติงบประมาณแล้ว 4,000 ล้านบาท แต่ส่วนนี้ต้องขอความชัดเจนจากรัฐบาลไทยว่า ฝั่งไทยนั้นจะมีท่าที และการปรับตัวอย่างไรกัน
อย่างไรก็ตาม นายณรงค์ กล่าวเปิดใจว่า สิ่งที่คณะกรรมาธิการเห็นแล้วเป็นห่วงและไม่สบายใจอย่างยิ่งคือ ด่านประกอบ อ.นาทวี ซึ่งเตรียมเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าฮาลาลที่ผลิตใน จ.ปัตตานี เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังทำไม่เสร็จ ต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์แทนอาคาร และขอกำลังเจ้าหน้าที่ด่านสะเดามาช่วยทุกวัน เส้นทางบกเชื่อมด่านก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ส่วนที่ขยายถนนก็ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งจะนำเรื่องนี้ไปเรียกร้องให้รัฐบาล และหน่วยเหนือที่มีอำนาจรับผิดชอบมารับฟัง และเร่งเข้ามาดูแล ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับมาเลเซียทำเสร็จแล้วกว่า 2 ปี มีกำลังเจ้าหน้าที่คอยดูแลกว่า 100 คนเข้ามาทำงาน
ด้านนายกษิต ภิรมย์ ประธานที่ปรึกษาฯ กล่าวยอมรับเช่นกันว่า การพัฒนาด่านชายแดนไทยใน จ.สงขลา นั้นนับว่ามีความล่าช้ากว่าประเทศมาเลเซียเป็นอย่างมาก จึงต้องติดตามกระตุ้นและประสานความร่วมมือให้ไทยมีความพร้อมทันการเปิดเสรีอาเซียนในวันที่ 1 มกราคม 2558 โดยกรอบในการศึกษาและติดตามครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.สิ่งอำนวยความสะดวก 2.ความปลอดภัย 3.ความพร้อมในการรับเปิดประเทศเสรี 4.องค์ความรู้อาเซียนที่จะมีผลต่อการแข่งขัน เช่น กลุ่มผู้ประกอบการบางรายที่อาจย้ายฐานการผลิตในประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า และรัฐบาลส่งเสริมการลงทุนด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และแนวทางการแก้ไขปัญหา
5.สร้างความรู้สึกที่ดี ไม่คลั่งชาติจนเกิดความขัดแย้ง ซึ่งส่วนนี้ต้องมีการชำระประวัตศาสตร์ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเป็นพลเมืองในอาเซียนร่วมกัน และ 6.การบูรณาการทำงานของภาครัฐ ซึ่งพบว่า ยังเป็นปัญหาที่ทำให้ความคืบหน้าในการขยายด่านของฝ่ายไทยไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
“จากที่ลงพื้นที่ต่างๆ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะขาดการบูรณาการของภาครัฐนั่นเอง แต่ฝั่งมาเลเซียเองมีความพร้อม และตื่นตัวในเรื่องของการเปิดประเทศมาก เพราะด่านคือประตูห้องรับแขก ไม่ใช่ส้วมหลังบ้าน จึงต้องพร้อม สะดวกสบาย และสวยงาม เราจึงต้องเร่งมือภายในเวลา 2 ปีครึ่งให้ตรงนี้เสร็จ เพราะเป็นเส้นทางหลักในการส่งสินค้าเข้าออกที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในเมืองหาดใหญ่ศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว” นายกษิตกล่าวทิ้งท้าย
คณะอนุกรรมาธิการกิจการอาเซียน ในคณะกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายณรงค์ ดูดิง ประธานคณะอนุกรรมาธิการ เปิดแถลงข่าว ณ โรงแรมสิงโกเด้นเพลส อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถึงผลการการลงพื้นที่ศึกษาดูงานด่านศุลกากรใน จ.สงขลา จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ด่านประกอบ อ.นาทวี, ด่านสะเดา และด่านปาดังเบซาร์ อ.สะเดา ระหว่างวันที่ 12-13 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา เพื่อติดตามรับฟังปัญหา และเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558
นายณรงค์ ดูดิง ประธานคณะอนุกรรมาธิการ กล่าวว่า ภาพรวมทั้ง 3 ด่านยังไม่ค่อยมีความพร้อม แต่ตั้งความหวังว่า ด่านสะเดาจะต้องมีความพร้อมในการรับอาเซียนมากที่สุด และจะกระตุ้นให้รัฐบาลเห็นความสำคัญเรื่องนี้ เพราะด่านแห่งนี้สร้างรายได้การส่งออกทางบกเป็นอันดับ 2 ของประเทศ แม้ขณะนี้ จะเจรจาเรื่องการเวนคืนที่ดินแต่งบประมาณยังไม่ลงมาก็ตาม แต่ก็คิดว่าบางจุดอาจจะเปิดทันภายใน 2 ปีครึ่ง ซึ่งมีแผนรองรับ 2 ระยะ คือ การต้องมีการทุบทำลายกำแพงที่มีความแออัดเป็นคอขวดออก ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ส่วนระยะยาวจะสร้างด่านสะเดาแห่งใหม่เพื่อรองรับโครงการของฝ่ายมาเลเซียที่จะสร้างคอมเพล็กซ์ เปอร์ดานา ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเป็นด่านศุลกากรติดอันดับโลกในปี 2558 ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียอนุมัติงบประมาณแล้ว 4,000 ล้านบาท แต่ส่วนนี้ต้องขอความชัดเจนจากรัฐบาลไทยว่า ฝั่งไทยนั้นจะมีท่าที และการปรับตัวอย่างไรกัน
อย่างไรก็ตาม นายณรงค์ กล่าวเปิดใจว่า สิ่งที่คณะกรรมาธิการเห็นแล้วเป็นห่วงและไม่สบายใจอย่างยิ่งคือ ด่านประกอบ อ.นาทวี ซึ่งเตรียมเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าฮาลาลที่ผลิตใน จ.ปัตตานี เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังทำไม่เสร็จ ต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์แทนอาคาร และขอกำลังเจ้าหน้าที่ด่านสะเดามาช่วยทุกวัน เส้นทางบกเชื่อมด่านก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ส่วนที่ขยายถนนก็ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งจะนำเรื่องนี้ไปเรียกร้องให้รัฐบาล และหน่วยเหนือที่มีอำนาจรับผิดชอบมารับฟัง และเร่งเข้ามาดูแล ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับมาเลเซียทำเสร็จแล้วกว่า 2 ปี มีกำลังเจ้าหน้าที่คอยดูแลกว่า 100 คนเข้ามาทำงาน
ด้านนายกษิต ภิรมย์ ประธานที่ปรึกษาฯ กล่าวยอมรับเช่นกันว่า การพัฒนาด่านชายแดนไทยใน จ.สงขลา นั้นนับว่ามีความล่าช้ากว่าประเทศมาเลเซียเป็นอย่างมาก จึงต้องติดตามกระตุ้นและประสานความร่วมมือให้ไทยมีความพร้อมทันการเปิดเสรีอาเซียนในวันที่ 1 มกราคม 2558 โดยกรอบในการศึกษาและติดตามครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.สิ่งอำนวยความสะดวก 2.ความปลอดภัย 3.ความพร้อมในการรับเปิดประเทศเสรี 4.องค์ความรู้อาเซียนที่จะมีผลต่อการแข่งขัน เช่น กลุ่มผู้ประกอบการบางรายที่อาจย้ายฐานการผลิตในประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า และรัฐบาลส่งเสริมการลงทุนด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และแนวทางการแก้ไขปัญหา
5.สร้างความรู้สึกที่ดี ไม่คลั่งชาติจนเกิดความขัดแย้ง ซึ่งส่วนนี้ต้องมีการชำระประวัตศาสตร์ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเป็นพลเมืองในอาเซียนร่วมกัน และ 6.การบูรณาการทำงานของภาครัฐ ซึ่งพบว่า ยังเป็นปัญหาที่ทำให้ความคืบหน้าในการขยายด่านของฝ่ายไทยไม่คืบหน้าเท่าที่ควร
“จากที่ลงพื้นที่ต่างๆ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะขาดการบูรณาการของภาครัฐนั่นเอง แต่ฝั่งมาเลเซียเองมีความพร้อม และตื่นตัวในเรื่องของการเปิดประเทศมาก เพราะด่านคือประตูห้องรับแขก ไม่ใช่ส้วมหลังบ้าน จึงต้องพร้อม สะดวกสบาย และสวยงาม เราจึงต้องเร่งมือภายในเวลา 2 ปีครึ่งให้ตรงนี้เสร็จ เพราะเป็นเส้นทางหลักในการส่งสินค้าเข้าออกที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในเมืองหาดใหญ่ศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว” นายกษิตกล่าวทิ้งท้าย