ศูนย์ข่าวภูเก็ต - รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรียกประชุมตำรวจในพื้นที่ภาค 8 เน้นย้ำ 3 มาตรการเร่งด่วน ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ทำฐานข้อมูลนักท่องเที่ยว-แหล่งท่องเที่ยว จุดเสี่ยง พร้อมสั่งบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน และที่สำคัญ ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน ระบุ รองนายกฯ สั่งภายใน 30 วัน ทำแผนแก้ปัญหาแท็กซี่ป้ายดำ-เจ็ตสกีเสร็จ
พล.ต.อ.ปานศิริ ประวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลังประชุมมอบนโยบายการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และผู้บังคับการตำรวจภูธรในพื้นภาค 8 รวมทั้ง 7 จังหวัด ว่า วันนี้ (26 มิ.ย.) ได้ประชุมหัวหน้าสถานีตำรวจของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งผู้บังคับการใน 6 จังหวัดของตำรวจภูธร ภาค 8 เกี่ยวกับเรื่องการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว โดยได้เน้นย้ำให้เพิ่มความเข้มในการดูแลปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว 3 เรื่อง
คือ 1.เรื่องการสำรวจปัญหา จัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนักท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว เส้นทางท่องเที่ยว ดูว่าจุดไหนเป็นจุดล่อแหลม หรือจุดที่นักท่องเที่ยวน่าจะไม่มีความปลอดภัย ก็มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลร่วมกับอาสาสมัครภาคประชาชน 2.เรื่องการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยอื่นๆ โดยเฉพาะภาคประชาชน อาสาสมัครต่างๆ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา ทาง ผบ.ตร. ไปตรวจที่ป่าตอง ก็มีอาสาสมัครซึ่งเป็นชาวต่างชาติเข้ามาร่วมทำงานก็ถือว่า เป็นเรื่องที่ดี เราต้องให้ข้อมูลแก่อาสาสมัครเหล่านั้นด้วยถึงเหตุที่เกิด
“ซึ่งขณะนี้เราได้มีการเอาคดีขึ้นมาพูดว่า คดีที่เกิดขึ้นแก่นักท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ในจังหวัดท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ ให้ไปสำรวจคดีที่เกิดขึ้นจริง คดีที่เกิดขึ้น นอกจากการทำสำนวนการสอบสวนแล้ว อาจจะมีคดีที่ยังไม่เป็นเรื่องของสำนวน ก็ต้องมีการลงรายละเอียดเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่ไปก่อความเดือดร้อนรำคาญ หรือไปเอารัดเอาเปรียบสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งต้องมีข้อมูลเหล่านี้ไว้ด้วย
และเรื่องที่ 3 คือ เรื่องการใช้เทคโนโลยีเข้ามีมาร่วมในการทำงาน โดยเฉพาะกล้อง CCTV ซึ่งทางตำรวจภูธรภาค 8 ได้ร่วมกับทางผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชนในการดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งกล้อง CCTV ถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะตัวอย่างคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย หลักฐานที่นำไปสู่การคลี่คลายคดีได้อย่างรวดเร็ว ก็มาจากกล้อง CCTV ซึ่งนอกจากจะใช้ในการติดตามตรวจสอบคนร้ายที่ก่อเหตุแล้ว ยังสามารถใช้ในเชิงการป้องกันได้ด้วย ต่อไป เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการสังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏตามกล้อง CCTV ติดตั้งในแต่ละพื้นที่”
พล.ต.อ.ปานศิริ ยังได้กล่าวต่อไปว่า สำหรับปัญหาที่จะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือปัญหาเจ็ตสกี แท็กซี่ป้ายดำ ซึ่งในเรื่องของแท็กซี่ป้ายดำนั้น รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้สั่งการให้ไปสำรวจผู้ที่มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะมีอิทธิพลในระดับท้องถิ่น หรือเป็นผู้อิทธิพลในระดับไหน ซึ่งการแก้ไขปัญหาในระยะแรกให้ใช้หลักรัฐศาสตร์เข้าไปดำเนินการ ขอให้เลิกกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าไม่เช่นนั้นคงจะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไปอย่างเข้มงวด
ซึ่งในจังหวัดภูเก็ตมีรถแท็กซี่ป้ายดำที่ไม่ถูกต้อง และยังไม่ยอมเข้ามาอยู่ในระบบให้ถูกต้อง โดยเฉพาะคิวที่มีผู้คุ้มกัน หรือมีผู้อยู่เบื้องหลัง ทางตำรวจก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานว่ามีพฤติการณ์อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะพี่น้องประชาชน หรือชาวต่างชาติที่ถูกคนเหล่านี้คุกคามหรือเอารัดเอาเปรียบก็ขอให้มาให้ข้อมูลแก่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือทางจังหวัดก็ได้ ต่อไปนี้ทางตำรวจจะเอาจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานไว้ เมื่อถึงจุดที่เราสามารถดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมได้เราก็จะดำเนินการทันที โดยเรื่องของแท็กซี่มิเตอร์นั้น ทางกรมขนส่งทางบกจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ
สำหรับปัญหาเจ็ตสกี ก็จะมีกรมเจ้าท่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทางผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ก็ได้รายงานให้ทราบว่า ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต มีเจ็ตสกีให้บริการอย่างถูกต้องได้ประมาณ 280 ลำเท่านั้น แต่ขณะนี้ อาจจะมีเจ็ตสกีส่วนหนึ่งที่เข้ามาดำเนินการไม่ถูกต้อง เข้ามาสวมทะเบียน หรือเป็นเจ็ตสกีที่มาจากพัทยา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องเร่งสำรวจ และผู้ที่เป็นเจ้าของจะต้องทำให้ถูกต้อง ซึ่งกรอบดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ ทางรองนายกฯ ได้สั่งการแล้วว่า ให้รายงานภายใน 30 วัน หากมีปัญหาที่จะให้ระดับรัฐบาลช่วยเหลืออย่างไรก็ให้มีข้อเสนอแนะขึ้นไปด้วย
พล.ต.อ.ปานศิริ ยังได้กล่าวต่อไปถึงกรณีการดำเนินการกับกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำ และเจ็ตสกี แล้วมีการรวมตัวประท้วง ว่า เรื่องทุกเรื่องที่มีการประชุมก็มีการพูดถึงปัญหานี้เช่นกัน แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ให้นโยบายไว้แล้วว่า ขอให้ดำเนินการไปด้วยความถูกต้อง ละเอียดรอบคอบ ใช้หลักรัฐศาสตร์เข้าไปดำเนินการก่อน หากไม่ถูกต้อง ก็ดำเนินการตามกฎหมาย คิดว่ากฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน แต่ในการดำเนินการจะใช้วิธีการเจรจา หรือใช้หลักรัฐศาสตร์นำไปก่อน
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยว บางครั้งมีการแจ้งความแต่ไม่ได้รอชี้ตัวผู้ต้องหาเพราะต้องเดินทางกลับประเทศ พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า บางครั้งนักท่องเที่ยวไม่มีเวลา และที่มาแจ้งความก็เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการเคลมกระประกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็อยากขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวถ้ามีคดีเกิดขึ้นขอให้มาแจ้งความต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะเป็นข้อมูลพื้นฐานแก่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ อย่างน้อย คนร้ายที่เคยกระทำผิดทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีพฤติกรรม หรือแผนประทุษกรรมของคนร้ายไว้ หรืออย่างน้อยก็มีตำหนิรูปพรรณไว้ วันใดที่เราดำเนินการได้เราก็จะเป็นผลพลอยได้ให้แก่คดีอื่นๆ ด้วย
พล.ต.อ.ปานศิริ ยังได้กล่าวต่อไปถึงมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม และยาเสพติด ในเมืองท่องเที่ยว ว่า ในเมืองท่องเที่ยวย่อมมีอาชญากรรม และยาเสพติดเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะนี้ ก็ได้เรียกประชุมหัวหน้าสถานีตำรวจทุกสถานี ในเรื่องของการท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวต่อไปจะมีสถานีตำรวจทั้งหมด 353 สถานี ที่มาเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวใน 56 จังหวัด นอกจากกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวแล้ว ต่อไปในแผนการตรวจก็ดี ในการจัดการตรวจก็ดี จะต้องมีเรื่องของการท่องเที่ยวอยู่ในแผนการตรวจด้วย โดยเฉพาะเราได้กำหนดแล้วว่า ในระดับจังหวัด จะต้องมีรองผู้บังคับการจังหวัดที่รับผิดชอบเรื่องการท่องเที่ยว ระดับกองบัญชาการ จะต้องมีรองผู้บัญชาการที่รับผิดชอบเรื่องการท่องเที่ยวขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเราต้องสร้างความเชื่อมั่น เราก็ให้ความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินให้แก่นักท่องเที่ยวให้ได้
พล.ต.อ.ปานศิริ ประวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลังประชุมมอบนโยบายการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และผู้บังคับการตำรวจภูธรในพื้นภาค 8 รวมทั้ง 7 จังหวัด ว่า วันนี้ (26 มิ.ย.) ได้ประชุมหัวหน้าสถานีตำรวจของตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต รวมทั้งผู้บังคับการใน 6 จังหวัดของตำรวจภูธร ภาค 8 เกี่ยวกับเรื่องการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว โดยได้เน้นย้ำให้เพิ่มความเข้มในการดูแลปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว 3 เรื่อง
คือ 1.เรื่องการสำรวจปัญหา จัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนักท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว เส้นทางท่องเที่ยว ดูว่าจุดไหนเป็นจุดล่อแหลม หรือจุดที่นักท่องเที่ยวน่าจะไม่มีความปลอดภัย ก็มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลร่วมกับอาสาสมัครภาคประชาชน 2.เรื่องการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยอื่นๆ โดยเฉพาะภาคประชาชน อาสาสมัครต่างๆ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา ทาง ผบ.ตร. ไปตรวจที่ป่าตอง ก็มีอาสาสมัครซึ่งเป็นชาวต่างชาติเข้ามาร่วมทำงานก็ถือว่า เป็นเรื่องที่ดี เราต้องให้ข้อมูลแก่อาสาสมัครเหล่านั้นด้วยถึงเหตุที่เกิด
“ซึ่งขณะนี้เราได้มีการเอาคดีขึ้นมาพูดว่า คดีที่เกิดขึ้นแก่นักท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ในจังหวัดท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคใต้ ให้ไปสำรวจคดีที่เกิดขึ้นจริง คดีที่เกิดขึ้น นอกจากการทำสำนวนการสอบสวนแล้ว อาจจะมีคดีที่ยังไม่เป็นเรื่องของสำนวน ก็ต้องมีการลงรายละเอียดเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่ไปก่อความเดือดร้อนรำคาญ หรือไปเอารัดเอาเปรียบสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งต้องมีข้อมูลเหล่านี้ไว้ด้วย
และเรื่องที่ 3 คือ เรื่องการใช้เทคโนโลยีเข้ามีมาร่วมในการทำงาน โดยเฉพาะกล้อง CCTV ซึ่งทางตำรวจภูธรภาค 8 ได้ร่วมกับทางผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชนในการดำเนินการเรื่องนี้ ซึ่งกล้อง CCTV ถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะตัวอย่างคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย หลักฐานที่นำไปสู่การคลี่คลายคดีได้อย่างรวดเร็ว ก็มาจากกล้อง CCTV ซึ่งนอกจากจะใช้ในการติดตามตรวจสอบคนร้ายที่ก่อเหตุแล้ว ยังสามารถใช้ในเชิงการป้องกันได้ด้วย ต่อไป เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการสังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏตามกล้อง CCTV ติดตั้งในแต่ละพื้นที่”
พล.ต.อ.ปานศิริ ยังได้กล่าวต่อไปว่า สำหรับปัญหาที่จะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือปัญหาเจ็ตสกี แท็กซี่ป้ายดำ ซึ่งในเรื่องของแท็กซี่ป้ายดำนั้น รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้สั่งการให้ไปสำรวจผู้ที่มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะมีอิทธิพลในระดับท้องถิ่น หรือเป็นผู้อิทธิพลในระดับไหน ซึ่งการแก้ไขปัญหาในระยะแรกให้ใช้หลักรัฐศาสตร์เข้าไปดำเนินการ ขอให้เลิกกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าไม่เช่นนั้นคงจะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไปอย่างเข้มงวด
ซึ่งในจังหวัดภูเก็ตมีรถแท็กซี่ป้ายดำที่ไม่ถูกต้อง และยังไม่ยอมเข้ามาอยู่ในระบบให้ถูกต้อง โดยเฉพาะคิวที่มีผู้คุ้มกัน หรือมีผู้อยู่เบื้องหลัง ทางตำรวจก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานว่ามีพฤติการณ์อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะพี่น้องประชาชน หรือชาวต่างชาติที่ถูกคนเหล่านี้คุกคามหรือเอารัดเอาเปรียบก็ขอให้มาให้ข้อมูลแก่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือทางจังหวัดก็ได้ ต่อไปนี้ทางตำรวจจะเอาจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานไว้ เมื่อถึงจุดที่เราสามารถดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมได้เราก็จะดำเนินการทันที โดยเรื่องของแท็กซี่มิเตอร์นั้น ทางกรมขนส่งทางบกจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ
สำหรับปัญหาเจ็ตสกี ก็จะมีกรมเจ้าท่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทางผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ก็ได้รายงานให้ทราบว่า ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต มีเจ็ตสกีให้บริการอย่างถูกต้องได้ประมาณ 280 ลำเท่านั้น แต่ขณะนี้ อาจจะมีเจ็ตสกีส่วนหนึ่งที่เข้ามาดำเนินการไม่ถูกต้อง เข้ามาสวมทะเบียน หรือเป็นเจ็ตสกีที่มาจากพัทยา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องเร่งสำรวจ และผู้ที่เป็นเจ้าของจะต้องทำให้ถูกต้อง ซึ่งกรอบดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ ทางรองนายกฯ ได้สั่งการแล้วว่า ให้รายงานภายใน 30 วัน หากมีปัญหาที่จะให้ระดับรัฐบาลช่วยเหลืออย่างไรก็ให้มีข้อเสนอแนะขึ้นไปด้วย
พล.ต.อ.ปานศิริ ยังได้กล่าวต่อไปถึงกรณีการดำเนินการกับกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำ และเจ็ตสกี แล้วมีการรวมตัวประท้วง ว่า เรื่องทุกเรื่องที่มีการประชุมก็มีการพูดถึงปัญหานี้เช่นกัน แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ให้นโยบายไว้แล้วว่า ขอให้ดำเนินการไปด้วยความถูกต้อง ละเอียดรอบคอบ ใช้หลักรัฐศาสตร์เข้าไปดำเนินการก่อน หากไม่ถูกต้อง ก็ดำเนินการตามกฎหมาย คิดว่ากฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน แต่ในการดำเนินการจะใช้วิธีการเจรจา หรือใช้หลักรัฐศาสตร์นำไปก่อน
ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยว บางครั้งมีการแจ้งความแต่ไม่ได้รอชี้ตัวผู้ต้องหาเพราะต้องเดินทางกลับประเทศ พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า บางครั้งนักท่องเที่ยวไม่มีเวลา และที่มาแจ้งความก็เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการเคลมกระประกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็อยากขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวถ้ามีคดีเกิดขึ้นขอให้มาแจ้งความต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะเป็นข้อมูลพื้นฐานแก่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ อย่างน้อย คนร้ายที่เคยกระทำผิดทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีพฤติกรรม หรือแผนประทุษกรรมของคนร้ายไว้ หรืออย่างน้อยก็มีตำหนิรูปพรรณไว้ วันใดที่เราดำเนินการได้เราก็จะเป็นผลพลอยได้ให้แก่คดีอื่นๆ ด้วย
พล.ต.อ.ปานศิริ ยังได้กล่าวต่อไปถึงมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม และยาเสพติด ในเมืองท่องเที่ยว ว่า ในเมืองท่องเที่ยวย่อมมีอาชญากรรม และยาเสพติดเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะนี้ ก็ได้เรียกประชุมหัวหน้าสถานีตำรวจทุกสถานี ในเรื่องของการท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวต่อไปจะมีสถานีตำรวจทั้งหมด 353 สถานี ที่มาเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวใน 56 จังหวัด นอกจากกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวแล้ว ต่อไปในแผนการตรวจก็ดี ในการจัดการตรวจก็ดี จะต้องมีเรื่องของการท่องเที่ยวอยู่ในแผนการตรวจด้วย โดยเฉพาะเราได้กำหนดแล้วว่า ในระดับจังหวัด จะต้องมีรองผู้บังคับการจังหวัดที่รับผิดชอบเรื่องการท่องเที่ยว ระดับกองบัญชาการ จะต้องมีรองผู้บัญชาการที่รับผิดชอบเรื่องการท่องเที่ยวขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเราต้องสร้างความเชื่อมั่น เราก็ให้ความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินให้แก่นักท่องเที่ยวให้ได้