xs
xsm
sm
md
lg

“นิติรัฐ” กำลังสูญสลาย เมื่อโรงพักรีดสินบนให้ผู้ต้องหารีบติดคุก/ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก

“ตำรวจ” หรือ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” คือ ต้นทางของกระบวนการยุติธรรม เพราะคดีความทุกคดี โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องของ ป.วิอาญา ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่โรงพัก โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมของเรายังเป็นขบวนการกล่าวหา ส่วนผิดถูกไปตัดสินกันที่การไต่สวนของศาล และสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชน ขั้นตอนขบวนการความเป็นธรรมที่ต้นทางคือ โรงพัก คือการไม่ได้รับความเป็นธรรม

โรงพักส่วนใหญ่ในประเทศไทยจึงถูกขนานนามว่าเป็น “ตลาดหลักทรัพย์” เป็นที่ซื้อ และขายคดีความมากกว่าที่จะเป็นสร้างความเป็นธรรมในเบื้องต้น ดังนั้น จึงอย่าได้แปลกใจที่ในการสอบเข้ารับราชการตำรวจในประเทศนี้ทุกครั้งจึงมีการ “ซื้อ” ตำแหน่ง ข้อสอบ ด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อที่ผู้สมัครสอบจะได้เป็นตำรวจตามที่ต้องการ

และอยากแปลกใจที่ขนาดสอบเป็น “นายสิบ” มีการ “จ่าย” รายละ 3 แสน ถึง 5 แสนบาท เพื่อที่จะได้ไปเป็น “นายสิบ” รับราชการได้เงินเดือน หกเจ็ดพันบาท เพราะผู้ที่ยอมจ่ายเงิน 3 แสน 5 แสน ไม่ได้มองรายได้จากเงินเดือน แต่มองรายได้ที่จะได้จากการใช้เครื่องแบบ ยศ อำนาจ ตำแหน่ง เพื่อถอนทุนคืน นี่แค่สอบ “นายสิบ” จ่ายเงินซื้อตำแหน่งครึ่งล้าน ถ้าสอบ “นายร้อย” ต้องจ่ายเป็น 1 ล้านขึ้น

ที่เกริ่นนำมาถึง 3 ย่อหน้า เพียงเพื่อต้องการชี้ให้เห็นถึงความฟอนเฟะของวงการตำรวจในบ้านเรา ที่นับวันมีแต่เรื่องของการรับเรียกเงินจากผู้ที่ทำผิด และละทิ้งผู้ที่เป็นเจ้าทุกข์ หรือผู้เสียหายที่รอรับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ

เรื่องตำรวจเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น บ่อนการพนัน ขบวนการค้ามนุษย์ในรูปแบบสถานบันเทิงต่าง รับเงินจากหวยเถื่อน ขบวนการค้าของผิดกฎหมาย ค้าน้ำมันเถื่อน และอื่นๆ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เพราะประชาชนทุกพื้นที่ต่างรับรู้ และรับรู้แม้กระทั่งการค้ายาเสพติดที่ระบาดในภาคใต้ก็มาจากการที่ตำรวจมีส่วนในการค้า และการส่งเสริมการขายของผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่

ยิ่งส่วยรถบรรทุก ส่วยบนถนนหลวง หรือส่วยจราจรไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากเป็นจนชินชาและชินตาจนกลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมไทยไม่กล่าวถึงอีกแล้ว แต่เรื่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จ.สงขลา และอาจจะเกิดขึ้นบนโรงพักอื่นๆ เช่นเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่มีการร้องเรียน และยังไม่มีใครพบเห็น หรือเป็นเพราะผู้ที่เดือดร้อนจากเรื่องนี้ต่างชาชิน และเห็นว่าเป็นกรรมเก่าที่มีตำรวจเป็นเจ้ากรรมนายเวรแต่ชาติปางก่อน
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
นั่นคือ มีโรงพักหลายแห่งที่นอกจากจะ “กินสำนวน” ด้วยการช่วยผู้ต้องหาในรูปแบบต่างๆ เช่น สั่งไม่ฟ้อง ทำสำนวนให้อ่อน ไม่มีพยาน หาหลักฐานไม่ได้ เพื่อแลกกับเงินตามที่ตกลงกัน ซึ่งเรียกว่า เป็นการ “กินสำนวน” การสอบสวนที่ต้องทำกันเป็นขบวนการ ตั้งแต่ร้อยเวร พนักงานสอบสวน จนถึง ผกก.และ ผบก.

แต่วันนี้ บางโรงพักก้าวหน้าไปกว่านั้น นั่นคือ การเรียกเก็บเงินจากผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องการให้พนักงานสอบสวน “ส่งฟ้อง” พูดหรือเขียนง่ายๆ คือ ผู้ต้องหาต้องการที่จะติดคุกให้เร็วขึ้น ต้องการที่จะสารภาพผิดเพื่อให้ศาลได้ตัดสิน ยังต้องจ่ายเงินเพื่อ “ซื้อ” ความรวดเร็วในการ “ติดคุก”

วิธีการหาเงิน คือการ ดองสำนวนที่สอบสวนเสร็จแล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนให้รอง ผกก.ที่ทำหน้าที่ตรวจสำนวนเพื่อส่งให้อัยการฟ้องต่อศาล ซึ่งหลายโรงพักสำนวนเหล่านี้ไม่ต้องให้ ผกก.โรงพักเป็นผู้ตรวจ เพราะเป็นคดีที่สั่งฟ้อง เพราะผู้ต้องหารับสารภาพและเป็นคดีที่มีพยานหลักฐานครบถ้วน เช่น คดีคนต่างด้าว แรงงานเถื่อนลักลอบหลบหนีเข้าเมือง เป็นต้น

มี ผกก. โรงพักหนึ่งในทำเลทองของ จ.สงขลา ที่ทำหน้าที่ตรวจสำนวนทุกสำนวนด้วยตนเอง และดองสำนวนเหล่านั้นเอาไว้ โดยไม่ยอมเซ็นสั่งฟ้อง หากผู้ต้องหาคนไหน รายไหนต้องการที่จะให้ฟ้องเร็ว หรือต้องการติดคุกเร็วขึ้นก็ต้องวิ่งเต้น ติดต่อ จ่ายเงินเพื่อให้มีการส่งฟ้องซึ่งเป็นวิธีการหาเงินจากสำนวนอีกรูปแบบหนึ่งของโรงพักที่มีตำรวจที่ไร้คุณธรรมเป็นผู้บริหาร

จนสุดท้าย กลายเป็นความเดือดร้อนของผู้ต้องหาที่นอกจากจะต้องติดคุกแน่นอนแล้ว ยังต้องหาเงินมาวิ่งเต้น โดยต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อที่จะได้ติดคุกตามความผิดที่ตนเองก่อขึ้น ซึ่งคงจะไม่มีขบวนการยุติธรรมหรือระบบ “นิติรัฐ” ของประเทศไหน ที่คนทำความผิดต้องจ่ายเงินเพื่อให้ตนเองได้รับโทษโดยการติดคุกเร็วขึ้น วิธีการหาเงินแบบนี้เป็นวิธีการที่ตำรวจเจ้าของเรื่อง หรือหัวหน้าโรงพักสามารถเลี่ยงความผิดได้ เนื่องจากคดีแต่ละคดีมีเวลาในการส่งฟ้องผู้ต้องหา ดังนั้น จึงสามารถดองสำนวนเอาไว้จนถึงวินาทีสุดท้าย เมื่อเห็นว่าหมดเวลา และไม่ได้เงินแน่แล้วจึงส่งฟ้อง

โดยข้อเท็จจริงโรงพักเกือบทุกแห่ง โดยเฉพาะใน จ.สงขลา ต่างมีรายได้ที่เรียกว่า “ส่วย” หรือสำนวนถิ่นใต้เรียกว่า “จ่ายรายการ” ทุกโรงพัก เพราะทุกพื้นที่ของ จ.สงขลา หรือของประเทศไทย ต่างมีสิ่งของผิดกฎหมาย โดยเฉพาะธุรกิจผิดกฎหมายที่ต้องจ่าย “รายการ” เป็นรายเดือน ราย 15 วัน ให้เจ้าหน้าที่อยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะสร้างความไม่เป็นธรรม หรือความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่เป็นผู้ต้องหาให้เดือดร้อนซ้ำสองอย่างที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะโรงพักทำเลทองที่ทำเรื่องอย่างนี้ไม่ควรทำ เพราะแต่ละเดือน “ส่วย” หรือ “รายการ” ที่เก็บจากผู้ทำธุรกิจผิดกฎหมายอยู่ที่หลักเกินกว่า 10 ล้านบาท จึงน่าจะพอเพียงในการกินอยู่ แม้ว่าจะมีข่าวว่าการย้ายมาเป็น ผกก.ที่โรงพักแห่งนี้ต้องใช้เงินถึง 30 ล้าน ก็ตามที เพราะสิ่งที่ทำลงไปเขาเรียกว่าเป็นการ “รีดเลือดปู”

วันนี้ ระบบนิติรัฐของประเทศมีปัญหา กระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรมเพราะ “ต้นทาง” ของขบวนการบิดเบี้ยว มีผลประโยชน์เป็นที่ตั้งมากกว่าที่จะคำนึงถึงหลัก “นิติรัฐ” และหลัก “นิติธรรม” โดยเฉพาะภาคใต้ และ จ.สงขลา เป็นพื้นที่อันมากด้วยอิทธิพล ผลประโยชน์ ซึ่ง พล.ต.ท จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.ภ.9 และ พล.ต.ต.สุวิทย์ เชิญศิริ ผบก.ภ.จว.สงขลา ต้องใส่ใจ และดำเนินการสร้างความชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรมให้เป็นที่พึ่งของประชาชนให้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น