xs
xsm
sm
md
lg

การนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน: อีกครั้งของความล้มเหลวในการจัดการประมงทะเลไทย (2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ดร. สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ
นักวิจัยอิสระด้านการจัดการประมง

ลักษณะการทำงานของอวนลากบริเวณพื้นท้องทะเล
การทำประมงอวนลากเกิดขึ้นในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ.2503 ซึ่งเป็นระยะแรกเริ่มของการพัฒนาประมงทะเลของไทย อวนลากมีศักยภาพสูงในการจับสัตว์น้ำ โดยเฉพาะสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่บริเวณหน้าดินท้องทะเล (demersal fish) ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ในปริมาณมากเกินศักยภาพการผลิต (carrying capacity) ของทะเล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 เป็นต้นมา ด้วยลักษณะของเครื่องมืออวนลากที่เป็นถุงอวนแข็งแรงขนาดใหญ่ มีโซ่ร้อยที่ปากอวนเพื่อถ่วงน้ำหนักให้ปากอวนเปิดกว้าง และกินน้ำได้ลึกในขณะทำการประมง และวิธีการทำประมงของอวนลากที่ลากครูดไปกับพื้นท้องทะเลได้ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ เช่น แหล่งปะการัง หน้าดินพื้นท้องทะเล เป็นต้น ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัยและแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศชายฝั่งเสื่อมโทรมลง
 
นอกจากนี้แล้ว การลากอวนขนาดใหญ่ไปตามพื้นท้องทะเลเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถเลือกจับทั้งชนิด และขนาดของสัตว์น้ำได้ จากผลงานวิจัยพบว่า สัดส่วนของสัตว์น้ำที่ได้แต่ละครั้งจะมีสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่ต้องการ (target species) อยู่เพียงหนึ่งในสามของสัตว์น้ำที่จับได้ทั้งหมด ที่เหลืออีกสองในสามเป็นปลาเป็ด (trash fish) เพื่อขายให้แก่โรงงานปลาป่นผลิตอาหารสัตว์ และประมาณร้อยละสามสิบของปลาเป็ดเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนที่สามารถเจริญเติบโตมีมูลค่าสูงต่อไปได้

ข้อมูลวิชาการจำนวนมากได้พิสูจน์แล้วว่า อวนลากเป็นเครื่องมือประมงที่มีศักยภาพในการทำลายล้างสูง ถึงแม้ พ.ร.บ.ประมงจะห้ามทำการประมงอวนลากในเขต 3,000 เมตรจากชายฝั่ง และให้ควบคุมจำนวนเรืออวนลากไม่ให้มีเพิ่มขึ้นอีก แต่การบังคับควบคุมให้การทำประมงอวนลากเป็นไปตามกฏหมายของกรมประมงก็ดูเหมือนไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทำประมงอวนลากมากที่สุดคือ ชาวประมงขนาดเล็กที่ทำมาหากินอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลทุกจังหวัดของประเทศไทย
 
นอกเหนือจากการเผชิญกับปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรสัตว์น้ำอันเนื่องมาจากการทำประมงอวนลากแล้ว พวกเขายังต้องสูญเสียเครื่องมือประมงที่วางทิ้งไว้ในทะเลเพื่อดักจับสัตว์น้ำไปกับการทำประมงอวนลากอีกด้วย โดยเฉพาะชาวประมงอวนจมปู และชาวประมงลอบหมึก อวนจมปูหนึ่งชุดมีมูลค่าประมาณ 7,000-10,000 บาท หรือลอบหมึกหนึ่งชุดประมาณ 30-40 ลูก มีราคาประมาณ 3,000-5,000 บาท การสูญเสียเครื่องมือประมงไม่ได้หมายถึงแค่การสูญเสียเครื่องมือทำมาหากิน แต่พวกเขาได้สูญเสียรายได้ที่จะเลี้ยงครอบครัว และการมีหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ชาวประมงอวนจมปูรายหนึ่งที่อ่าวบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์กล่าวว่า “ผมเพิ่งซื้ออวนปูชุดใหม่ เอาไปวางไว้ในทะเลเมื่อวานนี้ พอวันนี้อวนทั้งหมดหายไปกับอวนลาก ผมจะไปกู้ยืมเงินก้อนใหม่จากกลุ่มเงินทุนหมุนเวียนประมงไม่ได้อีก เพราะว่ายังไม่ได้คืนเงินเก่า ทางเดียวที่ทำได้คือ กลับไปหาพ่อค้าคนกลางเพราะเค้ามีเงินให้ยืมเสมอสำหรับชาวประมงที่เป็นลูกหนี้ที่ดี” ในการลากอวนของเรืออวนลากแต่ละเที่ยวไม่ได้ทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงขนาดเล็กเพียงแค่คนเดียว แต่ได้ทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงหลายคนที่วางไว้ในรัศมีการลากอวนของเรืออวนลากลำนั้นๆ

จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการเก็บข้อมูลงานวิจัยเกือบทุกจังหวัดชายฝั่งทั่วประเทศตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี พบว่า ชุมชนประมงชายฝั่งทุกชุมชนที่ได้ให้สัมภาษณ์มีประสบการณ์ในทางลบกับเรือประมงอวนลากด้วยกันทั้งสิ้น ผลกระทบที่ได้รับหนักหนาสาหัสต่อการประกอบอาชีพประมงเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว พวกเขาได้เรียนรู้ว่า การพึ่งพาหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้เขาได้ เป็นเวลาเกือบสองทศวรรษแล้วที่มีชุมชนชายฝั่งมากมายหลายชุมชนลุกขึ้นมาปกป้องพื้นที่ชายฝั่งหน้าหมู่บ้านของตนเองให้รอดพ้นจากการรุกล้ำของเรือประมงอวนลาก มีการตั้งกลุ่มอาสาสมัครอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งเพื่อสอดส่องดูแลการทำประมงที่ผิดกฏหมาย และเมื่อมีกรณีเกิดขึ้นก็จะขับไล่ให้พ้นไปจากพื้นที่ทะเลหน้าชุมชน หรือประสานงานกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการจับกุมผู้กระทำความผิด
 
นอกจากนี้ ชุมชนยังได้พยายามฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ดัง เดิมด้วยการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ที่หลากหลาย เช่น การสร้างบ้านให้ปลาด้วยการทำซั้งกอ เพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย วางไข่ และขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ พร้อมด้วยมาตรการห้ามทำการประมงรอบซั้งที่สร้างไว้เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในบริเวณรอบซั้งเหล่านั้น มีการจัดตั้งธนาคารปู ธนาคารกุ้ง เพื่อให้แม่พันธุ์ที่มีไข่เต็มท้องที่ถูกจับได้มีโอกาสวางไข่ก่อนที่จะถูกนำไปขาย มีการปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนที่สำคัญ เป็นต้น

พื้นที่โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน
โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นอีกความพยายามหนึ่งของชุมชนชายฝั่ง 9 ชุมชนในอ่าวบางสะพานร่วมกับเจ้าหน้าที่ประมงในท้องถิ่นดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบของการทำประมงอวนลาก ก่อนที่โครงการนำร่องการจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2542 ชาวประมงชาวขนาดเล็กในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการทำประมงอวนลากอย่างแสนสาหัส เรือประมงอวนลากจากจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ เพชรบุรี และบางพื้นที่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้บุกรุกเข้ามาลากอวนในเขต 3,000 เมตร ของชายฝั่งอ่าวบางสะพาน
 
การรุกล้ำพื้นที่ชายฝั่งของอวนลาก ทำให้ชาวประมงในท้องถิ่นทำมาหากินได้อย่างยากลำบาก เพราะระบบนิเวศชายฝั่งถูกทำลาย ทรัพยากรสัตว์น้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงขนาดเล็กที่วางทิ้งไว้ในทะเลเพื่อดักสัตว์น้ำให้เสียหายอีกด้วย ผลกระทบจากการทำประมงอวนลากดังกล่าว ทำให้ชาวประมงท้องถิ่นส่วนใหญ่มีรายได้ลดลง มีต้นทุนการทำประมงสูงขึ้น และมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พวกเขาเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในการประกอบอาชีพ ซึ่งได้ขยายไปสู่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย มีการต่อสู้ทั้งทางวาจา และการใช้กำลังทำให้ชาวประมงขนาดเล็กซึ่งมีสถานภาพทางสังคมที่ด้อยกว่า มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตอีกด้วย

ด้วยการต่อสู้เรียกร้องของชาวประมงในพื้นที่ต่อปัญหาเรือประมงอวนลากอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้น ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างชุมชนชาวประมงในอ่าวบางสะพาน และเจ้าหน้าที่ประมงในท้องถิ่นในการดำเนิน “โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน” ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ประกาศเขตพื้นที่โครงการนำร่อง: เส้นสีเหลือง (ดูภาพประกอบที่ 2) และห้ามอวนลากเข้ามาทำการประมงในพื้นที่โครงการ ทำให้เขตห้ามทำการประมงงอวนลากในอ่าวบางสะพาน ขยายจาก 3 กิโลเมตร หรือเขตเส้นสีแดงออกไปถึงประมาณ 10 กิโลเมตรจากชายฝั่ง หรือเขตเส้นสีเหลือง พร้อมทั้งมีการตั้งกลุ่มชาวประมงอาสาอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งดำเนินการตรวจจับการทำประมงผิดกฏหมายร่วมกับเจ้าหน้าที่โครงการนำร่องอีกด้วย

ความสำเร็จที่สำคัญประการหนึ่งของ “โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน” ที่ดำเนินเนินการมาเป็นเวลาเกือบ 13 ปี คือ ชาวประมงในพื้นที่กว่า 400 ครัวเรือนยอมรับว่า โครงการนำร่องนี้เป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาเรืออวนลากให้พวกเขาได้อย่างแท้จริง เพราะเรือประมงอวนลากได้หายไปจากพื้นที่โครงการเกือบทั้งหมดตั้งแต่ปีแรกๆ ของการดำเนินโครงการ
 
นอกจากนี้แล้ว ยังได้รับการยอมรับจากหน่วยงาน และผู้สนใจทั่วไปที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะโครงการนำร่องอ่าวบางสะพานนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ชุมชนท้องถิ่นมีศักยภาพเพียงพอในการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนทั้งต่อคนในท้องถิ่น และต่อประเทศโดยรวม ถ้าพวกเขาได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากภาครัฐที่มีอำนาจ และทรัพยากรอยู่ในมือ เพราะโดยการจัดการเพียงลำพังของภาครัฐก็ยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้

กรมประมงกำลังดำเนินการพิจารณานิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อนที่มีอยู่มากมายในท้องทะเลไทย ให้มาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฏหมายอีกกว่า 2,000 ลำ ด้วยเหตุผลว่า เรือประมงอวนลากเถื่อนเหล่านี้ไม่สามารถส่งสินค้าไปขายให้แก่สหภาพยุโรปได้ภายใต้มาตรการ IUU Fishing (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) ซึ่งเป็นมาตรการที่สหภาพยุโรปห้ามนำเข้าสินค้าประมงที่มาจากการทำประมงผิดกฏหมาย (Illegal) ไม่มีการรายงานแหล่งที่มาของสินค้าสัตว์น้ำ (Unreported) และไม่มีการควบคุมการได้มาซึ่งสินค้านั้นๆ (Unregulated)
 
การที่กรมประมงจะทำให้เรืออวนลากเถื่อนที่ผิดกฏหมายกลายเป็นถูกกฏหมาย จึงเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของสหภาพยุโรปในการใช้มาตรการ IUU Fishing เพื่อที่จะส่งเสริมให้เกิดการทำประมงอย่างรับผิดชอบ และความยั่งยืนของการใช้ทรัพยากรทางทะเลของประเทศผู้ส่งออกสัตว์น้ำ ที่สำคัญ ยังเป็นการทำร้ายจิตใจชาวประมงขนาดเล็กชายฝั่งทั่วประเทศที่เฝ้าปก ป้องรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้รอดพ้นจากการทำร้ายของการประมงอวนลาก และรณรงค์ต่อสู้เพื่อให้เรือประมงอวนลากหมดไปจากท้องทะเลไทย

ดังนั้น ก่อนที่กรมประมงจะเดินหน้าตัดสินใจนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน กรมประมงน่าจะปรึกษาหารือกับพี่น้องชาวประมงชายฝั่งว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ในฐานะที่พวกเขาได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในการตรวจจับเรือประมงอวนลากผิดกฏหมาย และร่วมฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งกับกรมประมงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลทั้งปวงที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้ผู้เขียนมีความเชื่อว่า จะไม่มีชุมชนชาวประมงขนาดเล็กแม้เพียงชุมชนเดียวที่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของกรมประมงในครั้งนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น