คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ความจริงเรื่องที่น่าสนใจที่สุดในวันนี้ น่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ หรือ ส.ส. หรือ “ผู้แทน” ของเราๆ ท่านๆ ที่ได้แสดงพฤติกรรมเถื่อน ดิบ ในสภาผู้แทนฯ โดยไม่เกรงใจประชาชน ผู้เสียภาษีให้เป็นเงินเดือน และลงคะแนนเลือกตั้งเข้าไป แต่ผมคิดว่า เรื่องนี้ มีผู้ที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์ไปมากแล้ว และคงจะให้ข้อมูล ข้อคิดเห็น และมุมมองให้แก่ท่านผู้อ่านไปมากแล้ว
ดังนั้น เรื่องที่จะเขียนถึงในวันนี้ เป็นเรื่องพฤติกรรมของคนอีกจำพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า “ข้าราชการ” ซึ่งมีความประพฤติที่เถื่อน ดิบ ไร้ธรรมาภิบาล แสวงหาแต่ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่เคยคำนึงถึงประเทศชาติ และหน้าที่ความรับผิดชอบแต่อย่างใด
ที่ผมนำเรื่องนี้มาเขียนถึง เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ ชุดที่กำลังมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดวิกฤต และปล่อยให้มีการเผยสันดานดิบ เถื่อน ในสภาผู้แทนฯ นี่แหละ ได้มีคำสั่งให้ทุกจังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชาการตามยุทธศาสตร์และแผนเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน พูดและเขียนง่ายๆ ให้เข้าใจว่า ต้องการปราบปรามข้าราชการ “ขี้ฉ้อ ขี้โกง” หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงนั่นเอง
และในคำสั่งการตั้งคณะกรรมการ จัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการของจังหวัดสงขลา ที่ลงนามโดย นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น มีชื่อของผู้เขียนเป็นคณะทำงานอยู่ด้วย ซึ่งคณะทำงานทั้งหมดนั่น ขึ้นอยู่กับสำนักงาน ก.พ.ร.ซึ่งการตื่นขึ้นมาของรัฐบาล โดยมอบหมายให้ ก.พ.ร.เป็นผู้รับผิดชอบในการทำแผนปราบปรามคอร์รัปชัน ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหม่ และตื่นเต้น เพราะรู้ๆ กันทั้งประเทศ และทั้งโลกใบ บูดๆ เบี้ยวๆ แล้วว่า ประเทศไทย ติดอยู่ในอันดับคอร์รัปชันที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลายๆประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
และการคอร์รัปชันในประเทศไทย ไม่ได้มีเฉพาะในจังหวัดใหญ่ๆ แต่มีการคอร์รัปชันกันทุก “ซอกหลืบ” ทุกพื้นที่ ยิ่งเป็นพื้นที่ “ไกลปืนเที่ยง” ยิ่งมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่รุนแรงมากกว่าในเมืองที่มีความเจริญ เพราะพื้นที่ “ไกลปืนเที่ยง” ด้อยประสิทธิภาพในการตรวจสอบจากภาคประชาชนนั่นเอง
จังหวัดสงขลาเองก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” เพราะสงขลาเป็นเมืองหน้าด่าน เป็นเมืองหลวงของภาคใต้ตอนล่าง เป็นเมืองเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว ที่มีการทำธุรกิจทั้งถูกกฎหมาย และผิดกฎหมายในวงเงินมหาศาล เป็นจังหวัดที่มีงบประมาณให้แก่ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก และงบประมาณเหล่านี้อย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นเงิน “หัวคิว” ของนักการเมือง และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง
ผมอยากยกตัวอย่างการฉ้อราษฎร์บังหลวงสั้นๆ ง่ายๆ ของจังหวัดสงขลาให้เห็นกันจะจะ เอาแค่นั่งรถจากต้นถนนกาญจนวนิชชายแดนไทย-มาเลเซีย จาก “ด่านนอก” ต.สำนักขาม อ.สะเดา มายัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เราก็จะได้เห็นการ “คอร์รัปชัน” อย่างมากมายให้เห็นเป็นตัวอย่าง แค่ขับรถจากชายแดนประเทศมาเลเซียเข้ามาที่ด่านศุลกากร เขตแดน อ.สะเดา จะพบว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรลิตรละ 1 บาท วันหนึ่งถ้ามีการลักลอบนำเข้า 1 ล้านลิตร ก็จ่ายไปแล้ว 1 ล้านบาท ยังไม่รวมเหล้า บุหรี่ และสินค้าหนีภาษีอีกมากมายที่ต้องจ่าย “ส่วย” ให้แก่ศุลกากร และวันดีคืนดีอาจจะมีการนำรถยนต์หนีภาษีเข้ามา และส่งไม้พะยูงออกไป เป็น 10 ตู้บรรทุก
หลุดจากด่านศุลกากรแค่ 5 เมตร ก็จะเห็นการคอร์รัปชันที่ชินตาที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ที่เรียกเก็บเงินค่าล่วงเวลา ค่าจ็อบหนังสือเดินทาง ค่าปิดปาก ปิดหู ปิดตา เพื่อเอื้อให้ขบวนการค้ามนุษย์ทั้งแรงงานเถื่อน หญิงโสเภณี และขบวนการนำคนไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งยังไม่รวมเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ออกไปหากินกับการจับกุม รีดทรัพย์แรงงานต่างด้าว ท้าวต่างแดน ตามโรงงานอุตสาหกรรม แคมป์งานผู้รับเหมา และสวนยางใหญ่ที่เก็บเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอีกต่างหาก แค่ “ก้าวบาทา” จากประเทศมาเลเซียเข้ามาไม่ถึง 500 เมตร ก็เห็นการคอรรัปชัน “หน้าด่าน” ที่ฉาวโฉ่อื้ออึงไปทั้งโลกแล้ว
ถัดเข้ามาที่ตลาดจังโหลน เขตเทศบาลสำนักขาม ซึ่งเป็นศูนย์การค้ายาเสพติด ศูนย์การค้าเนื้อสด และศูนย์กลางทำผิดกฎหมายทุกชนิดที่ใหญ่ที่สุดใน จ.สงขลา ณ ปัจจุบัน ก็จะพบว่า ที่ธุรกิจเถื่อนดำรงอยู่ได้ทั้งหมดเป็นเพราะมีการจ่าย “ส่วย” ให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีเจ้าของธุรกิจผิดกฎหมายรายหนึ่งจาระไนให้ผู้เขียนฟังว่า ต้องจ่ายเงิน “ใต้โต๊ะ” ให้แก่เจ้าหน้าที่จากสังกัดต่างๆ เดือนละ 19 หน่วย
เริ่มตั้งแต่วัฒนธรรมจังหวัด ที่มีหน้าที่เก็บส่วยราคาโอเกะ และร้านเกมส์ ตำรวจที่มีครบเซตตั้งแต่กองปราบ, สอบสวนกลาง, สันติบาล, ตำรวจน้ำ, ตำรวจท้องที่, ตำรวจภาค 9, ตำรวจจังหวัด, ฉก.ตำรวจ ตชด. และแม้แต่ตำรวจป่าไม้ก็ไปเก็บส่วย ยังไม่นับรวมสรรพสามิต, แรงงาน, สาธารณสุข, ปกครอง และอีกจิปาถะ ที่นับไปนับมาทำท่าว่าจะมากกว่า 19 หน่วยด้วยซ้ำไป เพราะปรากฎว่า หน่วยสุดท้ายที่ถูกนับรวมเข้าไปคือ “นักข่าว” นั่นเอง
หลุดจากเทศบาลสำนักขาม บนถนนกาญจนวนิชก็จะพบกับจุดตรวจ ป้อมยามของ สภ.สะเดา ที่ถูกระบุว่าที่อบายมุขเต็มบ้านเต็มเมือง ตั้งแต่บ่อนการพนัน, หวยรายวัน, หวยสัตว์, หวยใต้ดิน, หวยมาเลเซีย และการค้าขายยาเสพติดที่ระบาดไปทุกหย่อมย่าน ร้านค้า เป็นเพราะมี “สายสืบ” สายตรวจ เป็นผู้ทำหน้าที่ “ทำรายการ” เรียกเก็บเงินส่งให้แก่ “โรงพัก” เป็นรายเดือน เพื่อแลกกับการไม่จับกุม
และบนถนนสายนี้ มีป้อมยาม และรถลาดตระเวนของตำรวจทางหลวงรับผิดชอบนบถนนสายนี้ เพื่อทำหน้าที่เก็บเงินจากรถบรรทุกไม้ยางที่หมดสภาพของรถยนต์, เก็บเงินจากรถบรรทุกไม้ป่าจากจังหวัดต่างๆ ที่มาส่งให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ อ.หาดใหญ่, เก็บเงินจากรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่ต้องผ่านเส้นทาง และทุกๆ สิ้นเดือน จะเห็นรถฉลามบกเข้าไปเยี่ยมเยือนบริษัท โรงงาน ที่ตั้งอยู่มากกมายบนถนนสายนี้ การไปเยี่ยมเยือนก็เพื่อไปรับ “ซอง” จากผู้ประกอบการเหล่านั้น ซึ่งล้วนแต่มีรถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกินทั้งสิ้น
และบนถนนสายนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่มีพฤติกรรม “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” แล้ว เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ๆ หลายโรง ยังได้รับการ “แพร่เชื้อ” การคอร์รัปชันจากข้าราชการเลวด้วยการซื้อไม้ป่าใช้เป็นเชื้อเพลงแทนไม้ยางพาราที่มีราคาแพง ซึ่งในทุกวันตั้งแต่เวลา 18.00 น.จนถึงเที่ยงคืน จะพบเห็นคาราวานรถบรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ และรถพ่วงขนไม้เบญจพรรณ ไม้เสม็ดแดง เสม็ดขาว จำนวนคืนละนับ 10 คัน เข้ามาส่งให้โรงงานเหล่านี้ โดยที่ตำรวจท้องที่ ตำรวจทางหลวง และหน่วยงานอื่นๆ ไม่เคยสนใจในการตรวจสอบที่มา หรือหาช่องทางในการจับกุม
ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่า การที่โรงงานอุตสาหกรรมรับซื้อไม้ป่า คือสาเหตุของการตัดไม้ทำลายป่าในจังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียงเพิ่มขึ้น และผลของการตัดไม้ทำลายป่าคือ อุทกภัย ที่ติดตามมา ซึ่งสร้างความสูญเสียให้แก่ประเทศชาติและผู้คน ถ้าเจ้าของโรงงานเหล่านี้มีธรรมาภิบาล เรื่องอย่างนี้คงจะไม่เกิด และไม่ต้องบังคับใช้กฎหมายด้วยการจับกุม เพราะเมื่อไม่มีคนซื้อก็ไม่มีคนขายไม้ในป่าชุมชน ป่าในป่าสงวนก็ไม่ถูกตัดโค่น
ท่านผู้อ่านครับ ผมแค่พาท่านเดินทางจากชายแดนสะเดามาแค่ พื้นที่ อ.หาดใหญ่ ยังไม่ได้เข้าเมืองหาดใหญ่ และยังไม่ได้เข้าไป “แตะ” เรื่องคอร์รัปชันในวงการของการเมืองท้องถิ่นและของฝ่ายปกครองก็พบเห็นถึงเรื่องคอร์รัปชัน หรือการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” มากมายขนาดนี้แล้ว ถ้าจะเขียนกันให้หมดเปลือก จนต้องอีกหลายหน้ากระดาษ เพราะ ณ วันนี้ การคอร์รัปชันใน จ.สงขลา มากมาย และสมควรที่จะดำเนินการเอาจริงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ส่วนจะได้ผลแค่ไหนนั่นอยู่ที่รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นรัฐบาล “แม่ปู” จะสามารถทำตัวอย่างให้ “ลูกปู” ทั้งหลายเห็นได้หรือไม่ว่า รัฐบาลไม่โกง นักการเมืองไม่ คอร์รัปชัน เพราะถ้าทั้งรัฐบาล ทั้งนักการเมืองยังเต็มไปด้วยเรื่องคอร์รัปชัน ยังแสดงสันดานถ่อย เถื่อน ดิบ ให้เห็น ก็อย่าหวังว่าข้าราชการประจำเลิกพฤติกรรมการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” และที่นำเรื่องนี้มาเขียนถึงเพียงต้องการทำหน้าที่ของคณะทำงานที่ถูกแต่งตั้งให้มีหน้าที่ในเรื่องของการแก้ปัญหาการคอร์รัปชันเท่านั้นเอง ไม่มีเจตนาอื่นใดทั้งสิ้น
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ความจริงเรื่องที่น่าสนใจที่สุดในวันนี้ น่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ หรือ ส.ส. หรือ “ผู้แทน” ของเราๆ ท่านๆ ที่ได้แสดงพฤติกรรมเถื่อน ดิบ ในสภาผู้แทนฯ โดยไม่เกรงใจประชาชน ผู้เสียภาษีให้เป็นเงินเดือน และลงคะแนนเลือกตั้งเข้าไป แต่ผมคิดว่า เรื่องนี้ มีผู้ที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์ไปมากแล้ว และคงจะให้ข้อมูล ข้อคิดเห็น และมุมมองให้แก่ท่านผู้อ่านไปมากแล้ว
ดังนั้น เรื่องที่จะเขียนถึงในวันนี้ เป็นเรื่องพฤติกรรมของคนอีกจำพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า “ข้าราชการ” ซึ่งมีความประพฤติที่เถื่อน ดิบ ไร้ธรรมาภิบาล แสวงหาแต่ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่เคยคำนึงถึงประเทศชาติ และหน้าที่ความรับผิดชอบแต่อย่างใด
ที่ผมนำเรื่องนี้มาเขียนถึง เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ ชุดที่กำลังมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดวิกฤต และปล่อยให้มีการเผยสันดานดิบ เถื่อน ในสภาผู้แทนฯ นี่แหละ ได้มีคำสั่งให้ทุกจังหวัดแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชาการตามยุทธศาสตร์และแผนเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน พูดและเขียนง่ายๆ ให้เข้าใจว่า ต้องการปราบปรามข้าราชการ “ขี้ฉ้อ ขี้โกง” หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงนั่นเอง
และในคำสั่งการตั้งคณะกรรมการ จัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการของจังหวัดสงขลา ที่ลงนามโดย นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น มีชื่อของผู้เขียนเป็นคณะทำงานอยู่ด้วย ซึ่งคณะทำงานทั้งหมดนั่น ขึ้นอยู่กับสำนักงาน ก.พ.ร.ซึ่งการตื่นขึ้นมาของรัฐบาล โดยมอบหมายให้ ก.พ.ร.เป็นผู้รับผิดชอบในการทำแผนปราบปรามคอร์รัปชัน ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องใหม่ และตื่นเต้น เพราะรู้ๆ กันทั้งประเทศ และทั้งโลกใบ บูดๆ เบี้ยวๆ แล้วว่า ประเทศไทย ติดอยู่ในอันดับคอร์รัปชันที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลายๆประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
และการคอร์รัปชันในประเทศไทย ไม่ได้มีเฉพาะในจังหวัดใหญ่ๆ แต่มีการคอร์รัปชันกันทุก “ซอกหลืบ” ทุกพื้นที่ ยิ่งเป็นพื้นที่ “ไกลปืนเที่ยง” ยิ่งมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่รุนแรงมากกว่าในเมืองที่มีความเจริญ เพราะพื้นที่ “ไกลปืนเที่ยง” ด้อยประสิทธิภาพในการตรวจสอบจากภาคประชาชนนั่นเอง
จังหวัดสงขลาเองก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” เพราะสงขลาเป็นเมืองหน้าด่าน เป็นเมืองหลวงของภาคใต้ตอนล่าง เป็นเมืองเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว ที่มีการทำธุรกิจทั้งถูกกฎหมาย และผิดกฎหมายในวงเงินมหาศาล เป็นจังหวัดที่มีงบประมาณให้แก่ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก และงบประมาณเหล่านี้อย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นเงิน “หัวคิว” ของนักการเมือง และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง
ผมอยากยกตัวอย่างการฉ้อราษฎร์บังหลวงสั้นๆ ง่ายๆ ของจังหวัดสงขลาให้เห็นกันจะจะ เอาแค่นั่งรถจากต้นถนนกาญจนวนิชชายแดนไทย-มาเลเซีย จาก “ด่านนอก” ต.สำนักขาม อ.สะเดา มายัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เราก็จะได้เห็นการ “คอร์รัปชัน” อย่างมากมายให้เห็นเป็นตัวอย่าง แค่ขับรถจากชายแดนประเทศมาเลเซียเข้ามาที่ด่านศุลกากร เขตแดน อ.สะเดา จะพบว่า ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรลิตรละ 1 บาท วันหนึ่งถ้ามีการลักลอบนำเข้า 1 ล้านลิตร ก็จ่ายไปแล้ว 1 ล้านบาท ยังไม่รวมเหล้า บุหรี่ และสินค้าหนีภาษีอีกมากมายที่ต้องจ่าย “ส่วย” ให้แก่ศุลกากร และวันดีคืนดีอาจจะมีการนำรถยนต์หนีภาษีเข้ามา และส่งไม้พะยูงออกไป เป็น 10 ตู้บรรทุก
หลุดจากด่านศุลกากรแค่ 5 เมตร ก็จะเห็นการคอร์รัปชันที่ชินตาที่เกิดจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ที่เรียกเก็บเงินค่าล่วงเวลา ค่าจ็อบหนังสือเดินทาง ค่าปิดปาก ปิดหู ปิดตา เพื่อเอื้อให้ขบวนการค้ามนุษย์ทั้งแรงงานเถื่อน หญิงโสเภณี และขบวนการนำคนไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งยังไม่รวมเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ออกไปหากินกับการจับกุม รีดทรัพย์แรงงานต่างด้าว ท้าวต่างแดน ตามโรงงานอุตสาหกรรม แคมป์งานผู้รับเหมา และสวนยางใหญ่ที่เก็บเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอีกต่างหาก แค่ “ก้าวบาทา” จากประเทศมาเลเซียเข้ามาไม่ถึง 500 เมตร ก็เห็นการคอรรัปชัน “หน้าด่าน” ที่ฉาวโฉ่อื้ออึงไปทั้งโลกแล้ว
ถัดเข้ามาที่ตลาดจังโหลน เขตเทศบาลสำนักขาม ซึ่งเป็นศูนย์การค้ายาเสพติด ศูนย์การค้าเนื้อสด และศูนย์กลางทำผิดกฎหมายทุกชนิดที่ใหญ่ที่สุดใน จ.สงขลา ณ ปัจจุบัน ก็จะพบว่า ที่ธุรกิจเถื่อนดำรงอยู่ได้ทั้งหมดเป็นเพราะมีการจ่าย “ส่วย” ให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีเจ้าของธุรกิจผิดกฎหมายรายหนึ่งจาระไนให้ผู้เขียนฟังว่า ต้องจ่ายเงิน “ใต้โต๊ะ” ให้แก่เจ้าหน้าที่จากสังกัดต่างๆ เดือนละ 19 หน่วย
เริ่มตั้งแต่วัฒนธรรมจังหวัด ที่มีหน้าที่เก็บส่วยราคาโอเกะ และร้านเกมส์ ตำรวจที่มีครบเซตตั้งแต่กองปราบ, สอบสวนกลาง, สันติบาล, ตำรวจน้ำ, ตำรวจท้องที่, ตำรวจภาค 9, ตำรวจจังหวัด, ฉก.ตำรวจ ตชด. และแม้แต่ตำรวจป่าไม้ก็ไปเก็บส่วย ยังไม่นับรวมสรรพสามิต, แรงงาน, สาธารณสุข, ปกครอง และอีกจิปาถะ ที่นับไปนับมาทำท่าว่าจะมากกว่า 19 หน่วยด้วยซ้ำไป เพราะปรากฎว่า หน่วยสุดท้ายที่ถูกนับรวมเข้าไปคือ “นักข่าว” นั่นเอง
หลุดจากเทศบาลสำนักขาม บนถนนกาญจนวนิชก็จะพบกับจุดตรวจ ป้อมยามของ สภ.สะเดา ที่ถูกระบุว่าที่อบายมุขเต็มบ้านเต็มเมือง ตั้งแต่บ่อนการพนัน, หวยรายวัน, หวยสัตว์, หวยใต้ดิน, หวยมาเลเซีย และการค้าขายยาเสพติดที่ระบาดไปทุกหย่อมย่าน ร้านค้า เป็นเพราะมี “สายสืบ” สายตรวจ เป็นผู้ทำหน้าที่ “ทำรายการ” เรียกเก็บเงินส่งให้แก่ “โรงพัก” เป็นรายเดือน เพื่อแลกกับการไม่จับกุม
และบนถนนสายนี้ มีป้อมยาม และรถลาดตระเวนของตำรวจทางหลวงรับผิดชอบนบถนนสายนี้ เพื่อทำหน้าที่เก็บเงินจากรถบรรทุกไม้ยางที่หมดสภาพของรถยนต์, เก็บเงินจากรถบรรทุกไม้ป่าจากจังหวัดต่างๆ ที่มาส่งให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ อ.หาดใหญ่, เก็บเงินจากรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่ต้องผ่านเส้นทาง และทุกๆ สิ้นเดือน จะเห็นรถฉลามบกเข้าไปเยี่ยมเยือนบริษัท โรงงาน ที่ตั้งอยู่มากกมายบนถนนสายนี้ การไปเยี่ยมเยือนก็เพื่อไปรับ “ซอง” จากผู้ประกอบการเหล่านั้น ซึ่งล้วนแต่มีรถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกินทั้งสิ้น
และบนถนนสายนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่มีพฤติกรรม “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” แล้ว เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ๆ หลายโรง ยังได้รับการ “แพร่เชื้อ” การคอร์รัปชันจากข้าราชการเลวด้วยการซื้อไม้ป่าใช้เป็นเชื้อเพลงแทนไม้ยางพาราที่มีราคาแพง ซึ่งในทุกวันตั้งแต่เวลา 18.00 น.จนถึงเที่ยงคืน จะพบเห็นคาราวานรถบรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ และรถพ่วงขนไม้เบญจพรรณ ไม้เสม็ดแดง เสม็ดขาว จำนวนคืนละนับ 10 คัน เข้ามาส่งให้โรงงานเหล่านี้ โดยที่ตำรวจท้องที่ ตำรวจทางหลวง และหน่วยงานอื่นๆ ไม่เคยสนใจในการตรวจสอบที่มา หรือหาช่องทางในการจับกุม
ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่า การที่โรงงานอุตสาหกรรมรับซื้อไม้ป่า คือสาเหตุของการตัดไม้ทำลายป่าในจังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียงเพิ่มขึ้น และผลของการตัดไม้ทำลายป่าคือ อุทกภัย ที่ติดตามมา ซึ่งสร้างความสูญเสียให้แก่ประเทศชาติและผู้คน ถ้าเจ้าของโรงงานเหล่านี้มีธรรมาภิบาล เรื่องอย่างนี้คงจะไม่เกิด และไม่ต้องบังคับใช้กฎหมายด้วยการจับกุม เพราะเมื่อไม่มีคนซื้อก็ไม่มีคนขายไม้ในป่าชุมชน ป่าในป่าสงวนก็ไม่ถูกตัดโค่น
ท่านผู้อ่านครับ ผมแค่พาท่านเดินทางจากชายแดนสะเดามาแค่ พื้นที่ อ.หาดใหญ่ ยังไม่ได้เข้าเมืองหาดใหญ่ และยังไม่ได้เข้าไป “แตะ” เรื่องคอร์รัปชันในวงการของการเมืองท้องถิ่นและของฝ่ายปกครองก็พบเห็นถึงเรื่องคอร์รัปชัน หรือการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” มากมายขนาดนี้แล้ว ถ้าจะเขียนกันให้หมดเปลือก จนต้องอีกหลายหน้ากระดาษ เพราะ ณ วันนี้ การคอร์รัปชันใน จ.สงขลา มากมาย และสมควรที่จะดำเนินการเอาจริงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ส่วนจะได้ผลแค่ไหนนั่นอยู่ที่รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นรัฐบาล “แม่ปู” จะสามารถทำตัวอย่างให้ “ลูกปู” ทั้งหลายเห็นได้หรือไม่ว่า รัฐบาลไม่โกง นักการเมืองไม่ คอร์รัปชัน เพราะถ้าทั้งรัฐบาล ทั้งนักการเมืองยังเต็มไปด้วยเรื่องคอร์รัปชัน ยังแสดงสันดานถ่อย เถื่อน ดิบ ให้เห็น ก็อย่าหวังว่าข้าราชการประจำเลิกพฤติกรรมการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” และที่นำเรื่องนี้มาเขียนถึงเพียงต้องการทำหน้าที่ของคณะทำงานที่ถูกแต่งตั้งให้มีหน้าที่ในเรื่องของการแก้ปัญหาการคอร์รัปชันเท่านั้นเอง ไม่มีเจตนาอื่นใดทั้งสิ้น