นครศรีธรรมราช - หน.ชุดสืบสวนสอบสวนยาเสพติดในคุกนครศรีฯ ยันพบเครือข่ายใหญ่ระดับร้อยล้านแล้ว 1 ราย เตรียมเล่นงานฟอกเงิน ด้าน ผบก.นครศรีบินด่วนร่วมประชุม กมธ.ยาเสพติดวุฒิสภาเร่งซื้อเทคโนโลยีถอดรหัสเชื่อมข้อมูล เผยเครือข่ายยาเสพติดในคุกป่วนทุ่มไม่อั้นซื้อยา-โทรศัพท์ ขณะที่แก๊งทวงหนี้ยานอกคุกเริ่มลงมือไล่ล่าแล้ว
การสืบสวนสอบสวนเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำนครศรีธรรมราช ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้นมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้ขบวนการค้ายาเสพติดได้รับผลกระทบอย่างหนักการติดต่อซื้อขายมีปัญหา ยังคงมีการสั่งซื้อได้ในเรือนจำซึ่งคงหลงเหลือเพียงไม่กี่รายเท่านั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (4 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.รณพงศ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ได้บินด่วนไปยังรัฐสภา เนื่องจากคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดวุฒิสภาได้มีหนังสือด่วนที่สุดเชิญให้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการ เพื่อให้ข้อมูลความรู้และเทคนิคในการทำงานปราบปรามยาเสพติด เพื่อเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ขณะเดียวกันได้ประสานงานเพื่อซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงชนิดหนึ่งพร้อมทั้งซอฟแวร์ในการกู้ข้อมูล ถอดข้อมูล เชื่อมโยงข้อมูล ในการติดต่อสื่อสารผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งระบบมาใช้ที่นครศรีธรรมราชเป็นแห่งแรก โดยการสนับสนุนงบประมาณจาก ปปส.
ขณะที่ พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน ข้อมูลเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจได้รายงานถึงการค้นพบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งส่งมาเป็นของกลางในการดำเนินคดีเพิ่มขึ้น โดยได้จากการปฏิบัติการของทางเรือนจำเองหลายสิบเครื่อง ในส่วนนี้มีทั้งเครื่องใหม่ที่เพิ่งส่งเข้าไป และเครื่องเก่าที่มีการใช้งานแล้ว โดยเจ้าหน้าที่จะทำการสุ่มตรวจสอบข้อมูลในกลุ่มของการสั่งซื้อยาเสพติดมาสนับสนุนข้อมูลที่เรามีอยู่แล้วว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร
รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช กล่าวต่อว่า การดำเนินคดีกับนักโทษนั้น พนักงานสอบสวนได้เริ่มเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหากับนักโทษที่เรารู้ตัว มีรายชื่อ มีของกลางที่ยึดได้ทั้งยาเสพติด โทรศัพท์มือถือ และสิ่งของต้องห้ามในเรือนจำ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกราวประมาณ 20 วัน พนักงานสอบสวนทุกนายทำงานกันอย่างต่อเนื่อง และหากมีไม่พอจะเรียกพนักงานสอบสวนเข้าเสริมในการสอบสวนอีก
ส่วนข้อมูลที่เราได้ถอดออกมาจากเอกสารต่างๆ เสร็จแล้วจัดระเบียบเรียบร้อยแล้วอยู่ในระหว่างการวิเคราะห์ ส่วนข้อมูลจากระบบมือถือจนมาถึงวันที่ 4 พ.ค.55 เสร็จไปแล้วประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ พบว่าข้อมูลมีความเชื่อมโยงมาก แต่ยังไม่ได้วิเคราะห์ถึงประมาณการวงเงินในเครือข่าย สิ่งที่พบคือทุกคนไม่เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องในวงจร จะใช้ชื่อคนอื่นเข้าไปเป็นตัวแทนทั้งหมด ส่วนของต้องห้ามที่เหลือในขณะนี้เชื่อว่ามีอยู่อีกและเป็นของเก่าที่เราค้นไม่พบ
“หลังจากนี้การทวงถามติดตามหนี้สินค่ายาเสพติดกำลังเริ่มขึ้น การติดตามเงินนั้นจะใช้บุคคลหรือญาติมาเยี่ยม ซึ่งตำรวจกำลังติดตามเรื่องนี้ โดยเฉพาะข้อมูลบัญชีผู้ที่เข้ามาเยี่ยมนักโทษในกลุ่มเป้าหมายเป็นใครอย่างไร การขยายผลข้อมูลในเครือข่ายเป็นเรื่องที่ต้องละเอียด บางรายที่เราเชื่อว่าเป็นผู้ค้ารายใหญ่แต่เมื่อตรวจสอบกลับกลายเป็นรายย่อย มีอยู่หนึ่งรายที่เดิมเป็นรายเล็กๆ ของกลางที่ได้เล็กน้อย แต่เมื่อสืบสวนต่อไปพบว่ารายนี้มีเครือข่าย มีเงินหมุนเวียนนับร้อยๆ ล้านบาท ซึ่งการตรวจสอบเช่นนี้เราจะใช้ พรบ.มาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเข้าไปเกี่ยวจับ” รอง ผบก.นครศรีธรรมราชกล่าว
ทางด้านนายสุรพล แก้วภราดัย ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ได้เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ช่วงค่ำของวานนี้ (3 พ.ค.) เพื่อประชุมกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในวันนี้(4 พ.ค.) เพื่อรายงานสถานการณ์ทั้งหมด รวมทั้งเรื่องอัตรากำลังพล การเตรียมการโยกย้าย และการเสนอข้อมูลเพื่อนำไปสู่การสอบสวนเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชทั้งระบบ โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้จากการเปิดเผยของหลายฝ่าย รวมไปถึงอดีตนักโทษซึ่งพ้นโทษไปแล้วที่ยังคงเป็นเป้าหมายในการสืบสวนเชื่อมโยงกับเรือนจำ โดยก่อนเดินทางนั้นได้มีการสั่งการห้ามนำสิ่งของ อาหารทุกชนิดจากนอกเรือนจำเข้าไปในเรือนจำโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาหารนั้นเรือนจำจัดเลี้ยงอยู่แล้ว และหากมีความจำเป็นต้องนำเข้าเรือนจำจะเป็นฝ่ายจัดหาเอง
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนที่เกี่ยวข้องรายหนึ่งได้ให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ปฏิบัติการนี้เกิดขึ้นส่งผลให้ยาเสพติดในเรือนจำลดลงอย่างมาก เนื่องจากนักโทษที่ติดยาเสพติดและยังเป็นผู้ค้าต้องเสพทุกวัน ทำให้ราคายาเสพติดในเรือนจำขณะนี้สูงมาก ราคาจะสูงกว่าภายนอกหลายเท่าตัว เช่น ยาบ้าในขณะนี้มีราคาสูงถึงเม็ดละ 7,000 บาท ในขณะที่ราคาขายในวงการค้ายาภายนอกขายส่งเม็ดละ 300 บาท ขายปลีกเม็ดละ 400 - 450 บาท
ส่วนยาไอซ์ภายในเรือนจำ ขณะนี้จะเรียกเป็นจีเท่ากับ 0.10 กรัม ราคาประมาณ 40,000 บาท หรือร้อยกรัมต่อ 4 แสนบาท กิโลกรัมละกว่า 4 ล้านบาท 1 จีหรือ 0.10 กรัมจะเสพได้ราว 10 ครั้ง หากนักโทษด้วยกันมาซื้อต่อการเสพ 1 ครั้ง จะขายในราคา 15,000 บาทต่อครั้ง ไฟแช็กที่ใช้ลนเผายาไอซ์หรือยาบ้าราคา 1,500 บาทต่ออัน ราคาขยับขึ้นมาก เนื่องจากไม่มีของส่งเพิ่มเข้าไปในเรือนจำได้
ด้านราคาโทรศัพท์ต่อเครื่องขณะนี้สูงกว่า 4 แสนบาท ส่วนใหญ่นักโทษที่ติดยาเสพติดจะเป็นผู้ค้าด้วย ดังนั้นจึงกล้าทุ่มเงินไม่อั้น เพราะการสั่งซื้อขายยาเสพติดรายใหญ่หนึ่งครั้ง ค่าโทรศัพท์มือถือ 4 แสนบาทถือเป็นเรื่องเล็กมาก
“ยาเสพติดในเรือนจำกำลังขาดแคลน ขณะที่กลุ่มผู้ค้าภายนอกในเป้าหมายสำคัญ เช่น อ.พรหมคีรี อ.เมือง และใกล้เคียง กลุ่มคนเป้าหมายเงียบเชียบอย่างเหลือเชื่อ ชุดสืบสวนกำลังเร่งติดตามกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงอยู่ภายนอก โดยพบว่ามีขบวนการทวงหนี้ยาเสพติดกันแล้ว ซึ่งจากการสืบสวนมือปืนชื่อดังที่ถูกเหยื่อยิงสวนเสียชีวิตนั้น พบว่าเป็นขบวนการทวงหนี้ในวงการนี้ ซึ่งขณะนี้เราได้ข้อมูลส่วนนี้ไปมาก ขบวนการทวงหนี้จะติดตามค่ายาเสพติดภายนอก หลังจากนั้นหากไม่ได้เงินตามนัดหมายจะถึงขั้นยิงถล่มกัน จะเห็นได้หลังจากนี้บ่อยครั้งขึ้น” เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนรายนี้กล่าว
การสืบสวนสอบสวนเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำนครศรีธรรมราช ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้นมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้ขบวนการค้ายาเสพติดได้รับผลกระทบอย่างหนักการติดต่อซื้อขายมีปัญหา ยังคงมีการสั่งซื้อได้ในเรือนจำซึ่งคงหลงเหลือเพียงไม่กี่รายเท่านั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (4 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.รณพงศ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ได้บินด่วนไปยังรัฐสภา เนื่องจากคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดวุฒิสภาได้มีหนังสือด่วนที่สุดเชิญให้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการ เพื่อให้ข้อมูลความรู้และเทคนิคในการทำงานปราบปรามยาเสพติด เพื่อเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ขณะเดียวกันได้ประสานงานเพื่อซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงชนิดหนึ่งพร้อมทั้งซอฟแวร์ในการกู้ข้อมูล ถอดข้อมูล เชื่อมโยงข้อมูล ในการติดต่อสื่อสารผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งระบบมาใช้ที่นครศรีธรรมราชเป็นแห่งแรก โดยการสนับสนุนงบประมาณจาก ปปส.
ขณะที่ พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน ข้อมูลเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจได้รายงานถึงการค้นพบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งส่งมาเป็นของกลางในการดำเนินคดีเพิ่มขึ้น โดยได้จากการปฏิบัติการของทางเรือนจำเองหลายสิบเครื่อง ในส่วนนี้มีทั้งเครื่องใหม่ที่เพิ่งส่งเข้าไป และเครื่องเก่าที่มีการใช้งานแล้ว โดยเจ้าหน้าที่จะทำการสุ่มตรวจสอบข้อมูลในกลุ่มของการสั่งซื้อยาเสพติดมาสนับสนุนข้อมูลที่เรามีอยู่แล้วว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร
รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช กล่าวต่อว่า การดำเนินคดีกับนักโทษนั้น พนักงานสอบสวนได้เริ่มเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหากับนักโทษที่เรารู้ตัว มีรายชื่อ มีของกลางที่ยึดได้ทั้งยาเสพติด โทรศัพท์มือถือ และสิ่งของต้องห้ามในเรือนจำ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกราวประมาณ 20 วัน พนักงานสอบสวนทุกนายทำงานกันอย่างต่อเนื่อง และหากมีไม่พอจะเรียกพนักงานสอบสวนเข้าเสริมในการสอบสวนอีก
ส่วนข้อมูลที่เราได้ถอดออกมาจากเอกสารต่างๆ เสร็จแล้วจัดระเบียบเรียบร้อยแล้วอยู่ในระหว่างการวิเคราะห์ ส่วนข้อมูลจากระบบมือถือจนมาถึงวันที่ 4 พ.ค.55 เสร็จไปแล้วประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ พบว่าข้อมูลมีความเชื่อมโยงมาก แต่ยังไม่ได้วิเคราะห์ถึงประมาณการวงเงินในเครือข่าย สิ่งที่พบคือทุกคนไม่เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องในวงจร จะใช้ชื่อคนอื่นเข้าไปเป็นตัวแทนทั้งหมด ส่วนของต้องห้ามที่เหลือในขณะนี้เชื่อว่ามีอยู่อีกและเป็นของเก่าที่เราค้นไม่พบ
“หลังจากนี้การทวงถามติดตามหนี้สินค่ายาเสพติดกำลังเริ่มขึ้น การติดตามเงินนั้นจะใช้บุคคลหรือญาติมาเยี่ยม ซึ่งตำรวจกำลังติดตามเรื่องนี้ โดยเฉพาะข้อมูลบัญชีผู้ที่เข้ามาเยี่ยมนักโทษในกลุ่มเป้าหมายเป็นใครอย่างไร การขยายผลข้อมูลในเครือข่ายเป็นเรื่องที่ต้องละเอียด บางรายที่เราเชื่อว่าเป็นผู้ค้ารายใหญ่แต่เมื่อตรวจสอบกลับกลายเป็นรายย่อย มีอยู่หนึ่งรายที่เดิมเป็นรายเล็กๆ ของกลางที่ได้เล็กน้อย แต่เมื่อสืบสวนต่อไปพบว่ารายนี้มีเครือข่าย มีเงินหมุนเวียนนับร้อยๆ ล้านบาท ซึ่งการตรวจสอบเช่นนี้เราจะใช้ พรบ.มาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเข้าไปเกี่ยวจับ” รอง ผบก.นครศรีธรรมราชกล่าว
ทางด้านนายสุรพล แก้วภราดัย ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ได้เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ช่วงค่ำของวานนี้ (3 พ.ค.) เพื่อประชุมกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในวันนี้(4 พ.ค.) เพื่อรายงานสถานการณ์ทั้งหมด รวมทั้งเรื่องอัตรากำลังพล การเตรียมการโยกย้าย และการเสนอข้อมูลเพื่อนำไปสู่การสอบสวนเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชทั้งระบบ โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้จากการเปิดเผยของหลายฝ่าย รวมไปถึงอดีตนักโทษซึ่งพ้นโทษไปแล้วที่ยังคงเป็นเป้าหมายในการสืบสวนเชื่อมโยงกับเรือนจำ โดยก่อนเดินทางนั้นได้มีการสั่งการห้ามนำสิ่งของ อาหารทุกชนิดจากนอกเรือนจำเข้าไปในเรือนจำโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาหารนั้นเรือนจำจัดเลี้ยงอยู่แล้ว และหากมีความจำเป็นต้องนำเข้าเรือนจำจะเป็นฝ่ายจัดหาเอง
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนที่เกี่ยวข้องรายหนึ่งได้ให้ข้อมูลว่า หลังจากที่ปฏิบัติการนี้เกิดขึ้นส่งผลให้ยาเสพติดในเรือนจำลดลงอย่างมาก เนื่องจากนักโทษที่ติดยาเสพติดและยังเป็นผู้ค้าต้องเสพทุกวัน ทำให้ราคายาเสพติดในเรือนจำขณะนี้สูงมาก ราคาจะสูงกว่าภายนอกหลายเท่าตัว เช่น ยาบ้าในขณะนี้มีราคาสูงถึงเม็ดละ 7,000 บาท ในขณะที่ราคาขายในวงการค้ายาภายนอกขายส่งเม็ดละ 300 บาท ขายปลีกเม็ดละ 400 - 450 บาท
ส่วนยาไอซ์ภายในเรือนจำ ขณะนี้จะเรียกเป็นจีเท่ากับ 0.10 กรัม ราคาประมาณ 40,000 บาท หรือร้อยกรัมต่อ 4 แสนบาท กิโลกรัมละกว่า 4 ล้านบาท 1 จีหรือ 0.10 กรัมจะเสพได้ราว 10 ครั้ง หากนักโทษด้วยกันมาซื้อต่อการเสพ 1 ครั้ง จะขายในราคา 15,000 บาทต่อครั้ง ไฟแช็กที่ใช้ลนเผายาไอซ์หรือยาบ้าราคา 1,500 บาทต่ออัน ราคาขยับขึ้นมาก เนื่องจากไม่มีของส่งเพิ่มเข้าไปในเรือนจำได้
ด้านราคาโทรศัพท์ต่อเครื่องขณะนี้สูงกว่า 4 แสนบาท ส่วนใหญ่นักโทษที่ติดยาเสพติดจะเป็นผู้ค้าด้วย ดังนั้นจึงกล้าทุ่มเงินไม่อั้น เพราะการสั่งซื้อขายยาเสพติดรายใหญ่หนึ่งครั้ง ค่าโทรศัพท์มือถือ 4 แสนบาทถือเป็นเรื่องเล็กมาก
“ยาเสพติดในเรือนจำกำลังขาดแคลน ขณะที่กลุ่มผู้ค้าภายนอกในเป้าหมายสำคัญ เช่น อ.พรหมคีรี อ.เมือง และใกล้เคียง กลุ่มคนเป้าหมายเงียบเชียบอย่างเหลือเชื่อ ชุดสืบสวนกำลังเร่งติดตามกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงอยู่ภายนอก โดยพบว่ามีขบวนการทวงหนี้ยาเสพติดกันแล้ว ซึ่งจากการสืบสวนมือปืนชื่อดังที่ถูกเหยื่อยิงสวนเสียชีวิตนั้น พบว่าเป็นขบวนการทวงหนี้ในวงการนี้ ซึ่งขณะนี้เราได้ข้อมูลส่วนนี้ไปมาก ขบวนการทวงหนี้จะติดตามค่ายาเสพติดภายนอก หลังจากนั้นหากไม่ได้เงินตามนัดหมายจะถึงขั้นยิงถล่มกัน จะเห็นได้หลังจากนี้บ่อยครั้งขึ้น” เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนรายนี้กล่าว