พัทลุง - กลุ่มเงาะป่าซาไก ชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมในพื้นที่ จ.พัทลุง ยังคงถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ถูกกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวดึงตัวออกมาจากป่าเพื่อไปโชว์ตัวตามงานต่างๆ เผยมีอาการเจ็บป่วยทุกครั้งหลังจากเข้ามาในเมือง เนื่องจากไม่ชินต่อสภาพอากาศร้อนจัด
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.พัทลุง ว่า กลุ่มเงาะป่าซาไก ชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมในพื้นที่ จ.พัทลุง ที่อาศัยอยู่ในป่าเทือกเขาบรรทัด ยังคงถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้จากป่าสมบูรณ์บริเวณเทือกเขาบรรทัด อ.ป่าบอน อ.ตะโหมด ที่กลุ่มเงาะป่าซาไกเคยอยู่อาศัยถูกกลุ่มนายทุนบุกรุกเข้าไปยึดครองพื้นที่ ส่งผลให้ความสมบูรณ์ของป่าลดลง อาหารหายากขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศที่แล้งจัด ทำให้หัวมันทราย และผลไม้ป่าไม่เติบโต ทำให้กลุ่มซาไกขาดอาหารในการยังชีพ ต้องเข้าไปหาอาหารในป่าลึกเพื่อหนีอากาศร้อน และหาสัตว์ป่า เผือกมันเป็นอาหาร
และล่าสุด กลุ่มเงาะป่าซาไกที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ยังคงถูกกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวดึงตัวออกมาจากป่าเขา ท่ามกลางอากาศที่ร้อนในสังคมเมือง เพื่อไปโชว์ตัวตามงานต่างๆ ให้ชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกเหมือนเป็นตัวตลก ทั้งที่แววตา และจิตใจของพวกเขาเหล่านั้นไม่อยากออกมาจากป่าเท่าใดนัก นอกเสียจากออกมาหาเสบียงเป็นบางครั้ง
ผู้สื่อรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ยิ่งในช่วงนี้จังหวัดพัทลุงกำลังเตรียมที่จะบูมการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทำให้กลุ่มทุนธุรกิจพยามจับจองกลุ่มซาไกเพื่อสร้างความเป็นเจ้าของ โดยไม่แยแสความรู้สึกของพวกเขา ทั้งนี้ การที่พวกเขาออกมาข้างนอก พอกลับเข้าป่ามักจะมีอาการเจ็บป่วยทุกครั้ง เนื่องจากรับอากาศที่ร้อนจัดไม่ไหว
เฒ่าภาษ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มเงาะป่าซาไก ที่อาศัยอยู่เหนืออ่างเก็บน้ำคลองป่าบอน อ.ป่าบอน จังหวัดพัทลุง กล่าวเป็นภาษาของพวกเขา คือภาษามันนิ ที่สื่อกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างกับผู้สื่อข่าว ระบุว่า การที่อยู่ในป่าที่เป็นบ้านมีความสบายใจ สนุกไปกับการล่าสัตว์หาเผือกหามันกิน หากออกมาไปข้างนอกแล้วไม่ค่อยจะสนุกสักเท่าไหร่ และยิ่งเมื่อเจอคนมากๆ ทำให้ไม่สบายใจ เพราะพวกเราชอบใช้ชีวิตที่เรียบง่ายมากกว่า
และเฒ่าภาษ ยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา หัวหน้ากลุ่มชื่อ เฒ่าควาน โดนไฟไหม้ที่แขน ทรมานอยู่นานนับเดือน ไม่มีชาวบ้าน และกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปช่วยเหลือให้การดูแล และแขนเริ่มเปื่อย ทำให้เฒ่าควานทนอาการเจ็บปวดไม่ไหว ต้องเก็บไม้มากองสุมให้ลุกโชติช่วง แล้วกระโดดเข้ากองไฟจนตายในที่สุด ทำให้หดหู่ใจยิ่งนัก
แต่ตอนนี้หลังจากที่นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาเยี่ยมพวกตนในป่ามากขึ้น กลับจะเอาพวกตนออกมาจากป่า เพื่อแสวงหาผลประโยชน์อีกแล้ว และเป็นอย่างนี้มาเกือบทุกปี ซึ่งทางกลุ่มของพวกตนต่างก็หวาดวิตก แต่ก็ต้องจำใจออกมา