ศูนย์ข่าวภูเก็ต - “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เปิดงานศิลปาชีพและโอทอป เผย ดันสินค้าภูมิปัญญาไทยสู่ตลาดโลก นำเงินกลับสู่ท้องถิ่น เผยดีใจเดินทางมาภาคใต้ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นและสายตาคนใต้เป็นมิตร
เมื่อเวลา 15.30 น.วันนี้ (19 มี.ค.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี เดินทางไปเป็นประธานเปิดงาน OTOP ภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต ภายใต้ชื่องาน “ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี (เบิกฟ้าอันดามัน) ที่บริเวณเวทีกลางสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งทางกรมพัฒนาชุมชนจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 19-25 มี.ค.2555 เพื่อจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนี่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อพสกนิกรในการส่งเสริมอาชีพแก่ราษฎรภายใต้โครงการศิลปาชีพ ทำให้เกิดการเผยแพร่มรดกทางภูมิปัญญาไทยสู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืน
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า การจัดงานในครั้งนี้เกิดจากนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้จัดงานศิลปาชีพ และงานโอทอปในพื้นที่ภาคใต้ ที่คณะรัฐมนตรีได้เดินทางมาประชุมครม.สัญจร จึงได้จัดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นครั้งแรกในภูมิภาค โดยการจัดงานครั้งนี้ใช้งบประมาณเพียง 14 ล้านบาทเท่านั้น แต่จะมีรายได้ที่เกิดขึ้นจากการจำหน่ายสินค้าโอทอปไม่ต่ำกว่า 36 ล้านบาท
โดยภายในงานจัดให้มีการแสดงจำหน่ายสินค้า OTOP จากทั่วประเทศ จำนวน 300 บูธ พร้อมทั้งการจัดคลินิก OTOP เพื่อให้คำแนะนำในการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์แก่ผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ OTOP เช่น การแนะนำเรื่องแหล่งทุน การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการให้คำปรึกษาด้านการตลาด เป็นต้น
ขณะที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในการเปิดงานตอนหนึ่งว่า การเดินทางมาภาคใต้ในครั้งนี้ไม่หวังเหวิด (ไม่น่าเป็นห่วง) รู้สึกดีใจมาก ได้รับการตอบรับจากพี่น้องชาวใต้อย่างอบอุ่น สายตาที่ชาวใต้มองนั้นเป็นมิตร เป็นภาพที่อยากให้เกิดขึ้นทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อประเทศไทยมั่นคงสืบไป
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการจัดงานศิลปาชีพและโอทอปในครั้งนี้ ว่า รัฐบาลต้องการที่จะเห็นการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยมาเพื่อพัฒนาให้เกิดเป็นรายได้ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงฝีมือของคนไทยสู่สายตาชาวโลก การจัดงานในครั้งนื้ถือเป็นครั้งแรกในภูมิภาค และต้องการที่จะพัฒนาผู้ประกอบการให้ผลิตสินค้าที่เป็นความภาคภูมิใจ ซึ่งรัฐบาลจะต่อยอดให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การจัดจำหน่าย โดยการเปิดให้มีคลีนิกให้คำแนะนำกับผู้ประกอบการ ที่มีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างๆ คอยให้คำปรึกษา เพื่อพัฒนาสินค้าภูมิปัญญาไทยสู่การส่งออก นำรายได้กลับสู่ท้องถิ่น