“ป่าตอง” แหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกรู้จัก และใฝ่ฝันอยากจะเดินทางมาสัมผัส ภายใต้การเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ป่าตองต้องเชิญกับปัญหามากมายที่รอการแก้ไข หลายฝ่าย มองว่า หากปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นโดยไม่ได้รับการแก้ไข จะทำให้ป่าตองไม่ต่างจากพัทยา เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แนวคิดที่จะผลักดันให้มีการปกครองรูปแบบพิเศษในพื้นที่ป่าตองจึงได้จุดประกายขึ้น
โดยเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงแรม ภูเก็ต เกรซแลนด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ร่วมกับสภาองค์กรชุมชนตำบล เทศบาลเมืองป่าตอง และเทศบาลเมืองป่าตอง จัดเสวนาเรื่อง “การปกครองพื้นที่รูปแบบพิเศษ-ป่าตองจัดการตนเอง” โดยมี นายเปี่ยน กี่สิ้น นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง นายจตุพงษ์ แก้วใส ปลัดอำเภอกะทู้ ดร.สุเทพ เชาวลิต ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการจัดการ นายปรีชาวุฒิ กี่สิ้น ประธานสภาองค์กรชุมชนเทศบาลเมืองป่าตอง นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงป่าตอง นายราชินทร์ ทองมากกุล อุปนายกสมาคมโรงแรมหาดป่าตอง นายจรัล ส่างสาร กรรมการหอการค้าจังหวัดภูเก็ต ร่วมเวทีเสวนา และมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชน ตลอดจนภาคประชาชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก
การจัดเสวนาดังกล่าว เพื่อเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในการที่จะผลักดันให้ป่าตองมีการปกครองพิเศษ เพื่อให้ทันกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของป่าตองเมืองท่องเที่ยวระดับโลก เพราะหลายฝ่ายมองว่าขณะนี้ป่าตองเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก แต่ยังขาดความพร้อมในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานและมีปัญหาเกิดขึ้นหลายๆปัญหา ทั้งนี้เพราะป่าตองขาดงบประมาณในการดำเนินการที่จะต้องขอจากส่วนกลาง แต่หากมีการปกครองรูปแบบพิเศษแล้วจะสามารถจัดเก็บรายได้มาพัฒนาได้ดีกว่าในปัจจุบัน
นายเปี่ยน กี่สิ้น นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง กล่าวว่า ถ้าถามว่า รูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้อยู่ในขณะนี้พอใจหรือไม่ ต้องบอกว่ายังไม่เป็นที่พอใจ เพราะรูปแบบการปกครองที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ยังไม่ให้อำนาจในการบริหารคนและเงินอย่างเต็มที่ ทำให้การบริหารไม่เป็นไปตามที่ท้องถิ่นต้องการ ซึ่งเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง เมื่อมีการกระจายเงินมายังท้องถิ่นก็ยังไม่สอดคล้องกับสภาพของเมือง อย่างกรณีที่ป่าตองนั้นเสียเปรียบในการเข้าถึงงบประมาณของรัฐ เพราะป่าตองมีประชาชนที่อยู่ในทะเบียนบ้านแค่ 16,000 คน แต่มีประชากรแฝงที่ต้องดูแลไม่ต่ำกว่า 100,000 คน เข้าลักษณะคนมากเงินน้อย ซึ่งทางเทศบาลต้องใช้วิธีในการบริหารงบประมาณแบบเปิดเผย โปร่งใส และซื่อสัตย์
หากป่าตองได้มีการปกครองรูปแบบพิเศษแบบกรุงเทพฯ หรือ เมืองพัทยา คิดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้เพียงพอในการพัฒนา เพราะปัจจุบันนี้ ป่าตองและภูเก็ตสามารถทำรายได้เข้าประเทศมีละจำนวนมากแต่ได้รับการจัดสรรกลับคืนมาน้อยมาก ซึ่งก็เข้าใจรัฐบาลที่จะต้องดูแลจังหวัดอื่นๆทั่วทั้งประเทศ และเห็นว่า ภูเก็ตสามารถดูแลตัวเองได้ แต่รัฐบาลลืมไปว่าหากปล่อยให้ภูเก็ตเผชิญกับปัญหาต่างๆ โดยไม่มีการพัฒนาและปรับปรุงในดีขึ้นในอนาคตภูเก็ตอาจจะประสบปัญหามากกว่านี้และเหมือนกับพัทยาเมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย
นายเปี่ยน กล่าวในตอนท้ายว่า การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นนั้น รัฐบาลจะต้องกระจายให้เต็มที่ โดยให้ท้องถิ่มมีทั้งหน้าที่และอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในการบริหารคนและเงิน
ดร.สุเทพ เชาวลิต ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการจัดการ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการปกครองรูปแบบพิเศษอยู่ 2 ที่ในขณะนี้ คือ กรุงเทพฯ และเมืองพัทยา ซึ่งในส่วนของป่าตองนั้นก็มีลักษณะคล้ายเคียงกับพัทยาที่เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลเหมือนกัน ซึ่งป่าตองมีการเติบโตทางการท่องเที่ยวที่รวดเร็วมาก การเสนอให้ป่าตองปกครองรูปแบบพิเศษในขณะนี้นั้น ถือว่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมแล้ว เพราะขณะนี้รัฐบาลให้ความสำคัญในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นทั้งในรูปแบบ อบจ. เทศบาล อบต.และการปกครองรูปแบบพิเศษ และขณะนี้เรากำลังเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพในเรื่องของการท่องเที่ยวและการบิน ป่าตองเป็นเมืองท่องเที่ยวสามารถตอบสนองรัฐบาลในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างเหมาะสม การผลักดันให้ป่าตองปกครองรูปแบบพิเศษนั้น ถือเป็นฝันที่เหมาะสมกับเวลา
เพราะหากปล่อยให้ป่าตองโตโดยขาดงบประมาณมาบริหารจัดการปัญหาต่างๆ กลัวว่าป่าตองจะประสบปัญหาเช่นเดียวกับเมืองพัทยาเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ที่พัทยาต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม การจราจร ปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น แต่เมื่อนำรูปแบบการปกครองพิเศษที่ลอกมาจากสหรัฐอเมริกาก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่ได้กระจายอำนาจในการบริหารคนและเงินอย่างเบ็ดเสร็จ อำนาจทุกอย่างยังอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย การบริหารจัดการและแก้ปัญหาไม่ทันกับปัญหาที่เกิดขึ้น พัทยาจึงได้ปรับรูปแบบการปกครองพิเศษให้เหมาะสมกับเมืองพัทยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
ในส่วนของป่าตองนั้นเมื่อทุกฝ่ายเห็นด้วย ก็ต้องเร่งเสนอไปยังรัฐบาล ถึงความจำเป็นที่ต้องมีการปกครองในรูปแบบพิเศษ โดยที่ทางรัฐบาลมอบหมายทั้งหน้าที่และอำนาจในการบริหารคนและเงินอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจจะออกเป็น พ.ร.บ.บริหารราชการเมืองป่าตอง โดยการจ้างมืออาชีพเข้ามาบริหาร และแยกฝ่ายการเมืองออกจากฝ่ายบริหารอย่างเด็ดขาด ไม่ยึดติดกับระบบราชการ ต้องบริหารจัดการเชิงธุรกิจถึงจะทันกับการเติบโตของเมือง หากปล่อยไว้แบบนี้ ป่าตองอาจจะเผชิญปัญหาเดียวกับพัทยาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
ขณะที่ ดร.จตุพงศ์ แก้วใส ปลัดอำเภอกะทู้ จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ป่าตองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จะต้องมีการศึกษาให้ชัดเจนว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับป่าตองในขณะนี้ เกิดจากรูปแบบการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือเกิดจากปัญหาอะไร หากมีการปกครองรูปแบบพิเศษแล้วจะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้จริงหรือไม่ เพราะการปกครองรูปแบบพิเศษไม่ใช่สูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาทั้งหมด
นายจรัล ส่างสาร กรรมการหอการค้าจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การปกครองรูปแบบพิเศษนั้น หากได้ทีมงานที่ดี มีความซื่อสัตย์ โปร่งใส ในการบริหารจัดการ ประชาชนและประเทศชาติจะได้ประโยชน์สูงสุด แต่หากได้ทีมงานบริหารที่ไม่ดี ไม่เป็นมืออาชีพ ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้มากมาย ซึ่งการจะปกครองรูปแบบพิเศษหรือไม่นั้น คิดว่าทีมบริหารเป็นสิ่งสำคัญ หากมีทีมบริหารที่ดี โปร่งใส มีคุณธรรม ก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ เพราะขณะนี้จะเห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมาก มีการกระจายเงินจาก 25% เป็น 35% ของงบประมาณทั้งหมดสู่ท้องถิ่นแล้ว
นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงป่าตอง กล่าวว่า ป่าตองมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบราชการในขณะนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาของป่าตองได้ ที่ผ่านมาป่าตองสามารถทำรายได้และเสียภาษีจำนวนมาก แต่เม็ดเงินที่รัฐบาลจัดสรรกลับมาพัฒนาป่าตองไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งหากในอนาคตป่าตองสามารถที่จะปกครองในรูปแบบพิเศษได้ จะสามารถจัดเก็บภาษีมาพัฒนาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาก็จะได้รับการแก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น รวมไปถึงในเรื่องของงบประมาณที่จะมาพัฒนาพื้นที่อีกด้วย
ในส่วนของเอกชนที่เป็นสถานประกอบการโรงแรมในพื้นที่ป่าตองก็เห็นด้วยกับการที่จะผลักดันให้ป่าตองปกครองรูปแบบพิเศษ โดยนายราชินทร์ ทองมากกุล อุปนายกสมาคมโรงแรมหาดป่าตอง กล่าวว่า ในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรมในหาดป่าตองเห็นด้วยเป็นอย่างมากที่จะให้มีการปกครองในรูปแบบพิเศษเฉพาะพื้นที่ป่าตอง ซึ่งผู้ประกอบการเองต้องการที่จะให้หน่วยงานราชการให้บริการแบบบูรณาการ ไปติดต่อราชการสามารถทำได้เบ็ดเสร็จในจุดเดียว รวมทั้งให้มีการตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และเร่งแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของหาดป่าตอง
นายปรีชาวุฒิ กี่สิ้น ประธานสภาองค์กรชุมชนเทศบาลเมืองป่าตอง กล่าวว่า อยากให้อนาคตป่าตองเป็นเมืองท่องเที่ยวแบบยั่งยืน แต่ปัจจุบันป่าตองมีปัญหามากมายที่รอการแก้ไขทั้งปัยหารถติด ปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหางบประมาณมาพัฒนาเมืองและแก้ปัญหาต่างๆ อย่างกรณีการก่อสร้างถนนสาย ก ต้องรองบประมาณถึง 7 ปีกว่าจะได้สร้าง และในส่วนของการขุดอุโมงค์ป่าตองเชื่อมกับกะทู้ ที่ทางเทศบาลป่าตองพยายามผลักดันอยู่นั้นไม่แน่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี หากต้องรองบประมาณจากรัฐบาล คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ป่าตองจะมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการบริหาร ซึ่งคิดว่ารุปแบบที่เหมาะสมกับป่าตอง น่าจะเป็นการปกครองในรูปแบบพิเศษเหมือนกรุงเทพฯและพัทยา เพราะป่าตองเป็นเมืองพิเศษที่เป็นเมืองเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ได้มีการเปิดเวทีให้ผู้เข้าร่วมการเสวนาได้แสดงความคิดเห็น ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยหากจะให้ป่าตองปกครองในรูปแบบพิเศษ เพราะมองว่าการปกครองในรูปแบบพิเศษจะเกิดประโยชน์กับชาวป่าตองและการท่องเที่ยวของป่าตอง และหลังจากการเสวนาในครั้งแล้ว จะมีการเสวนาในครั้งต่อๆไปอีก เพื่อชาวป่าตองได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและเสนอรูปแบบที่เหมาะกับป่าตองที่คนป่าตองต้องการ
พัฒนาการเทศบาลเมืองป่าตอง
สำหรับการปกครองท้องถิ่นในเมืองป่าตอง เริ่มตั้งแต่กระทรวงมหาดไทย ได้มีประกาศเรื่องเปลี่ยนแปลงสุขาภิบาลกะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2510 กำหนดให้มีการขยายเขตสุขาภิบาลกะทู้ ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 3 ตำบลในอ.กะทู้ คือ ต.กะทู้ ต.ป่าตอง และต.กมลา จากเดิมที่สุขาภิบาลกะทู้ครอบคลุมเฉพาะพื้นที่บางส่วนของ ต.กะทู้เท่านั้น(ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่องจัดตั้งสุขาภิบาลกะทู้ กิ่ง อ.กะทู้ อ.เมืองภูเก็ต ลงวันที่ 10 ธ.ค.2499) เหตุผลในการขยายเขตสุขาภิบาลกะทู้ ในครั้งนั้นก็เพื่อให้เกิดความเหมาะสมแก่การบริหารกิจกรรมและการทำนุบำรุงท้องถิ่น
เมืองป่าตองเป็นส่วนหนึ่งของเขตสุขาภิบาลกะทู้มา 19 ปี จนถึงปี พ.ศ.2529 การปกครองท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในเมืองป่าตอง แต่ก็ไม่ใช่การปกครองท้องถิ่นที่เต็มรูปแบบตามทฤษฎีการกระจายอำนาจ เพราะว่าการปกครองท้องถิ่นรูปแบบสุขาภิบาลจะใช้การบริหารท้องถิ่นในรูปแบบของคณะกรรมการ ซึ่งตาม พ.ร.บ.สุขาพิบาล พ.ศ.2495 กำหนดให้มีกรรมการบางตำแหน่งมาจากข้าราชการพลเรือน ไม่ใช่ตำแหน่งของประชาชนทั้งหมด
แต่ถึงอย่างไรก็ตามในปี พ.ศ.2537 กระทรวงมหาดไทยเห็นว่า สุขาภิบาลป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต มีสภาพอันสมควรยกฐานะขึ้นเป็นเทศบาลตำบล เพื่อให้ภาคประชาชนในท้องถิ่นได้ปกครอง ดูแล และทำนุบำรุงท้องถิ่นของตนตามระบบเทศบาล ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาลตำบลป่าตองขึ้น ในปี 2537 ซึ่งถือว่าการปกครองท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลเป็นการปกครองท้องถิ่นของไทยรูปแบบแรกที่เป็นตามหลักการของทฤษฎี การกระจายอำนาจ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะภูมิศาสตร์ของเมืองป่าตอง ที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สวยงาม คือหาดป่าตอง ซึ่งเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองป่าตอง จึงทำให้เมืองป่าตองมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
จากเหตุผลดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้สภาพบ้านเมืองเกิดการขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยว กระทรวงมหาดไทยเห็นถึงสภาพความเป็นไปของบ้านเมืองที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มขึ้น จึงสมควรเปลี่ยนแปลงเป็นเทศบาลเมืองป่าตองในปี 2545
ต่อมาปีในปี 2555 สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว ทางสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จึงได้ร่วมกับสภาองค์กรชุมชนตำบล เทศบาลเมืองป่าตอง และเทศบาลเมืองป่าตอง จัดให้มีการเสวนาในหัวข้อดังกล่าวขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าป่าตองจะจัดการตนเอง ยกระดับเป็นพื้นที่ปกครองพิเศษ แบบเดียวกับกรุงเทพมหานคร หรือพัทยา