ระนอง - จังหวัดระนองพัฒนาท่าเทียบเรือศุลกากร เป็นท่าเรือเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน หลังการก่อสร้างใช้งบประมาณกว่า 85 ล้าน แต่ใช้ประโยชน์เฉพาะทางราชการมองว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
วันนี้(29 ก.พ.55) นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อพัฒนาและบริหารจัดการท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนจังหวัดระนอง ที่ห้องพลับพลึงธาร ศาลากลางจังหวัดระนอง
ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง กล่าวว่า ท่าเทียบเรือศุลกากรระนองใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 85 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณหมู่ที่ 5 บ้านเขานางหงส์ ต.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง ตัวสะพานท่าเทียบเรือยาว 344 เมตร กว้าง 10 เมตร ปลายท่าเทียบเรือมีประภาคารความสูง 48.5 เมตร สูง 9 ชั้น มีลิฟต์ขึ้น-ลง ชั้นบนสุดของประภาคารใช้เป็นจุดชมวิว สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลอันดามัน แม่น้ำกระบุรีและประเทศพม่า ปัจจุบันท่าเรือดังกล่าวใช้ประโยชน์เฉพาะทางราชการเท่านั้น ถือว่ายังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
ดังนั้นกรมศุลกากรและจังหวัดระนองได้เห็นชอบร่วมกันว่าจะพัฒนาท่าเทียบเรือดังกล่าวให้เป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนของจังหวัดระนอง เพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญตามศักยภาพที่มีอยู่ โดยที่ประชุมได้เห็นชอบให้เทศบาลตำบลปากน้ำท่าเรือ เป็นผู้ขอใช้ท่าเทียบเรือจากกรมศุลกากร เพื่อเป็นทางเลือกใช้เป็นท่าขนส่งผู้โดยสารข้ามฟากระนอง-เกาะสอง สำหรับเรือท่องเที่ยว และเรือยอร์ซ
แต่อย่างไรก็ตามต้องไปทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อน ส่วนท่าเทียบเรือข้ามฟากเดิมที่สะพานปลาระนองก็ยังใช้งานได้ สำหรับระบบประปาที่ต่อไปยังท่าเทียบเรือให้ส่วนปราบปรามกรมศุลกากรขอใช้งบพัฒนาจังหวัด ประมาณ 2.5 ล้านบาท ในการวางระบบท่อ ส่วนประภาคารเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา 80 พรรษาที่ปลายท่าเรือ ให้กรมศุลกากรไปบริหารจัดการพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งสามารถเปิดให้บริการในอีก 2 เดือนข้างหน้า และบริเวณหลังท่าในอนาคตจะมีการก่อสร้างศูนย์การค้าชายแดน หรือComplexโดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดระนองไปหาข้อสรุปร่วมกับกรมศุลกากร
นายบุญเลิศ โชควิวัฒน์ ผู้แทนกรมศุลกากร กล่าวว่า ปัจจุบันท่าเทียบเรือศุลกากรระนองใช้ประโยชน์ในการจอดพักและส่งกำลังบำรุงเรือตรวจการทางทะเลเท่านั้น แต่กรมศุลกากรมีความต้องการที่จะให้ท่าเทียบเรือดังกล่าวเป็นท่าเรือสาธารณะที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งจะคุ้มค่ากว่าและส่งผลให้เกิดรายรายได้การจ้างงานและผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดระนอง.