ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยใน 6 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง คาดใช้งบประมาณอีก 869 ล้านบาท
วันนี้ (24 ก.พ.) ที่ห้องประชุม ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายพิรสิญจ์ พันธุ์เพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ฝั่งอ่าวไทยในพื้นที่ของ จังหวัดสงขลา เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาความสูญเสียชายฝั่ง และแก้ไขปัญหาที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรทะเลและชายฝั่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ กว่า 20 คน เข้าร่วมประชุม
นายพิรสิญจ์ พันธุ์เพ็ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า การกัดเซาะชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย จากการสำรวจพบว่า การกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่เกิดขึ้นในทุกจังหวัดรอบอ่าวไทยมีอัตราการกัดเซาะรุนแรงเฉลี่ยมากกว่า 5.0 เมตรต่อปี ซึ่งจัดเป็นพื้นที่วิกฤตหรือพื้นที่เร่งด่วน
จังหวัดสงขลามีชายฝั่งทะเล รวมความยาว 170 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งด้านอ่าวไทยรวม 6 อำเภอ คือ อ.ระโนด อ.สทิงพระ อ.สิงหนคร อ.เมืองสงขลา อ.จะนะ และ อ.เทพา พบว่าแนวชายฝั่งจังหวัดสงขลามีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเกิดขึ้นแทบทุกอำเภอ แยกออกเป็น 10 พื้นที่ รวมความยาวของชายหาดถูกกัดเซาะกว่า 36.4 กิโลเมตร
โดยจัดเป็นพื้นที่กัดเซาะในระดับรุนแรง (กัดเซาะมากกว่า 5เมตร/ปี) รวมถึง 24.2 กิโลเมตร และพื้นที่กัดเซาะในระดับปานกลาง (กัดเซาะมากกว่า 1 เมตร/ปี) รวมอีก 12.2 กิโลเมตร การกัดเซาะชายฝั่งของจังหวัดสงขลานั้น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไม่อาจประเมินค่าได้ สร้างความเสียหายแก่ที่ดิน และทรัพย์สิน ทั้งของภาครัฐ และภาคเอกชน ทำให้เกิดการสูญเสียที่อยู่อาศัย สวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตที่ถดถอย นอกจากนั้นการกัดเซาะชายฝั่งยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะป่าชายหาด และทรัพยากรประมง ทำให้ชุมชนประมงเสียโอกาสในการประกอบอาชีพและทำลายวิถีชุมชนชายฝั่งของชาวสงขลาอีกด้วย
สำหรับการดำเนินการเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งทะเลของจังหวัดสงขลาได้ดำเนินการตามชายทะเลระยะทาง 170 กิโลเมตร มีการใช้งบประมาณไปแล้วรวมประมาณกว่า 350 ล้านบาท และในปี 2556 คาดว่าจะมีการใช้งบประมาณ 354 ล้านบาท และในปี 2557 คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณอีกประมาณ 166 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นงบประมาณที่ต้องใช้เงินประมาณ 869 ล้านบาท นับเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและอย่างเป็นระบบอีกด้วย
